สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แนะเพิ่มบทวิเคราะห์ดับหุ้นร้อนแรง ช่วยนักลงทุนศึกษาปัจจัยพื้นฐาน หวังตลท.ช่วยหนุน ความร้อนแรงของภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยุคนี้ ต้องยอมรับว่า จำนวนบทวิเคราะห์ของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ ไม่เพียงพอกับความต้องการ เนื่องจากขาดความสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นมีความร้อนแรง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ทำให้บทวิเคราะห์มีความสำคัญอย่างมาก ปัจจุบันทั้งระบบมีจำนวนนักวิเคราะห์ 200 คน เฉลี่ยบริษัทหลักทรัพย์ละ 10 คน นักวิเคราะห์ 1 คน จะดูแลได้ 15 หลักทรัพย์ ทำให้ศักยภาพในการทำบทวิเคราะห์ ครอบคลุมได้เพียง 200 หลักทรัพย์ จากหลักทรัพย์ทั้งหมดกว่า 600 หลักทรัพย์ จึงทำให้เกิดปัญหาขาดข้อมูลให้กับนักลงทุนในการตัดสินใจลงทุน" นอกจากข้อจำกัดด้านจำนวนนักวิเคราะห์แล้ว การทำบทวิเคราะห์แต่ละบริษัท ต้องใช้เวลานานมาก ไม่ทันกับพัฒนาการของบริษัท และยังพบว่าหลายบริษัทจดทะเบียน ไม่ให้ความร่วมมือกับนักวิเคราะห์ ในการศึกษาปัจจัยพื้นฐาน บางบริษัทไม่มีการเคลื่อนไหวทางธุรกิจ มีสภาพคล่องน้อยไม่คุ้มค่าในการเข้าศึกษาปัจจัยพื้นฐาน แม้ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ จะกำหนดให้แต่ละบริษัทหลักทรัพย์ นำเสนอข้อมูลพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนที่มีการซื้อขายสูงสุด 20 อันดับแรกในรอบสัปดาห์ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ เคยตั้งงบประมาณ เพื่อสนับสนุนบริษัทหลักทรัพย์ในการทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้มีจำนวนมากขึ้น แต่หลังจากนั้นงบประมาณดังกล่าวได้หายไป ซึ่ง สมาคมมองว่า ตลาดหลักทรัพย์ควรหามาตรการเข้ามาส่งเสริมให้บริษัทหลักทรัพย์ เข้าทำการวิเคราะห์หุ้นให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งการสนับสนุนด้านงบประมาณ หรือจ้างตัวกลางในการทำบทวิเคราะห์หุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ และสนับสนุนบริษัทจดทะเบียน ให้เข้าร่วมงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน ที่จัดขึ้นในทุกไตรมาสมากขึ้น ด้าน นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมีความเคลื่อนไหวที่หวือหวา และได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าว มักไม่มีบริษัทหลักทรัพย์เข้าทำการศึกษาปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของแต่ละบริษัท บางบริษัทมีระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ระดับ 100 เท่าถือว่าสูงมาก หากบริษัทเหล่านั้น มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน สามารถสร้างการเติบโต ทำให้ระดับพีอีลดลง เท่ากับว่านักลงทุนเสียโอกาสในการลงทุน หากจะให้แต่ละบริษัทหลักทรัพย์ เข้ามาทำการวิเคราะห์ ต้องใช้เวลานานกว่าจะศึกษาพื้นฐานของบริษัทแล้วเสร็จ ไม่ทันกับการปรับขึ้นของราคาหุ้น และการทำบทวิเคราะห์มีค่าใช้จ่ายสูง อาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ดังนั้น บล.ทิสโก้ มองว่า ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรจะจ้างบริษัทตัวกลาง เพื่อทำการวิเคราะห์หุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์ เหมือนในตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศ ที่ใช้วิธีการดังกล่าว ทำให้นักลงทุนได้ประโยชน์ในการศึกษาพื้นฐานบริษัทได้ง่ายขึ้น สำหรับ บล.ทิสโก้ มีทีมนักวิเคราะห์ 2 ทีม แบ่งเป็นแบ่งเป็นทีมวิเคราะห์นักลงทุนรายบุคคล และทีมวิเคราะห์ของนักลงทุนสถาบัน ซึ่ง บล.ทิสโก้ มีบทวิเคราะห์ครอบคลุม 70 บริษัท ขณะที่ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ เปิดเผยว่า จำนวนบทวิเคราะห์ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ มีทั้งสิ้น 150 รายการ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์มองว่า มีความเหมาะสมในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ ได้เห็นความสนใจของนักลงทุนรายบุคคลมากขึ้น จึงขอความร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ 10 แห่ง ในการทำบทวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ เพิ่มขึ้น 50 รายการ ซึ่งเพิ่มจำนวนบทวิเคราะห์แล้ว 40 รายการ และในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์ในด้านงบประมาณ หากในอนาคตความต้องการบทวิเคราะห์ของบริษัทขนาดเล็กเพิ่มขึ้น อาจมีการพิจารณาให้การสนับสนุนเพิ่มขึ้น Tags : ภรณี ทองเย็น • ตลาดหุ้น • หุ้นร้อนแรง