เปิดยุทธศาสตร์'ชัย โสภณพนิช'รุกเออีซี

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 13 ตุลาคม 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    เปิดยุทธศาสตร์ "ชัย โสภณพนิช" รุกเออีซี เล็งซื้อกิจการในมาเลเซีย พร้อมนำบำรุงราษฎร์ลุยจีน

    การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปลายปี 2558 เป็นความกดดันของธุรกิจไทยในปีนี้ โดยเฉพาะธุรกิจประกันที่หนีไม่พ้นความชะลอตัวดังกล่าวเช่นกัน โดยชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าธุรกิจประกันภัยในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเพียง 5% ชะลอลงจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ธุรกิจเติบโตได้มากกว่า 20% จากโครงการรถคันแรก แต่ในปี 2558 ด้วย

    มาตรการเศรษฐกิจของรัฐที่ออกมา ทำให้คาดกว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 จะสูงกว่าปีนี้ และหนุนให้ ธุรกิจประกันภัยปีหน้าจะกลับมาเติบโตในระดับปกติที่ 10-15% เหมือนเดิม ในส่วนของกรุงเทพประกันภัยอยู่ระหว่างทำแผนปีหน้า โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ระดับ 8-10% ในปีหน้าจากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 2-3%

    ด้วยมุมมองเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปีหน้าจากการลงทุนภาครัฐ ทำให้ในขณะนี้ถือเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีของบริษัท ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มมาต่อเนื่อง ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของบริษัท มีสัดส่วนของการลงทุนในหุ้น 25% ในแง่ต้นทุน แต่หากคิดเป็นมูลค่าตลาด(Mark to Market)แล้วจะมีสัดส่วนสูงถึง 60%

    ที่ผ่านมาบริษัทได้ขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)เพื่อขยายเม็ดเงินลงทุนในหุ้นเพิ่ม ซึ่งคปภ.อนุมัติในวงเงิน 3,000 ล้านบาท แต่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาบริษัทใช้ไปเพียง 500-600 ล้านบาท ทำให้พอร์ตการลงทุนในแง่ต้นทุนเพิ่มขึ้นเป็น 4,100 ล้านบาทแล้ว จากสิ้นปีก่อนที่มี 3,600 ล้านบาท

    ทั้งนี้รายได้จากการลงทุนที่แท้จริงในปีนี้อาจจะต่ำกว่าปีก่อนเพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการขายหุ้นเพื่อนำไปชดเชยลูกค้าที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นของบริษัทถือเป็นการลงทุนระยะยาว

    จับมือพันธมิตรลงทุนในอาเซียน

    ในส่วนของการลงทุนต่างประเทศนั้น คปภ.อนุมัติให้ลงทุนเฉพาะนธุรกิจประกันเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกไปลงทุนด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มพันธมิตรภายใต้กลุ่มเอเชียประกันภัยที่เป็นการร่วมทุนระหว่างเครือข่ายประกันภัยในฮ่องกงและอินโดนีเซีย เข้าไปตั้งบริษัทหรือโฮลดิ้งคอมพานีที่ลงทุนในบริษัทประกันภัยในลาวกัมพูชา และฟิลิปปินส์ร่วมกับผู้ถือหุ้นท้องถิ่นในแต่ละประเทศด้วย โดยบริษัทใช้งบลงทุนรวม 270 ล้านบาท

    “ธุรกิจประกันภัยหากจะออกไปเปิดตลาดเองเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ที่ทำได้คือการร่วมทุนกับท้องถิ่น ซึ่งเราก็ต้องอาศัยพรรคพวกเข้าไปช่วย เช่นในฟิลิปปินส์เราก็ได้เครือข่ายธุรกิจในอินโดนีเซียที่ได้เข้าไปตั้งแต่ 30 ปีก่อนเข้าไปช่วยบริหารให้ ส่วนเราก็ช่วยดูเขมรกับลาวให้เขา ฮ่องกงก็ช่วยดูที่เวียดนาม ดังนั้นเราคงไม่ออกไปด้วยตัวเอง”

    ในกัมพูชาบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในกัมพูชา 22% ในบริษัทเอเชียอินชัวรันส์ จำกัด มหาชนได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปบริหาร ส่วนลาวบริษัทถือหุ้น 19% ในบริษัทพีซีทีเอเชียอินชัวรันส์ และอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 25-30% หลังจากส่งทีมเข้าไปบริหารงานทำให้บทบาทในการบริหารงานเพิ่มขึ้นจึงเห็นควรว่าจะต้องเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น คาดว่าการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจะแล้วเสร็จในสิ้นปีนี้

    “การสร้างรายได้ของลาว ตลาดยังเล็ก มีประชากรแค่ 4 ล้านคน ค่าครองชีพต่ำกว่าเขมร และคนเข้าไปเปิดโรงงานน้อยอยู่ ที่เราหวังระยะยาวคือการสร้างเขื่อน หรือสาธารณูปโภคต่างๆ"

    ส่วนฟิลิปปินส์นั้นบริษัทได้เข้าไปลงทุนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 65% ในเอเชียอินชัวรันส์ฟิลิปปินส์ซึ่งฟิลิปปินส์ถือเป็นตลาดใหญ่ที่ขยายตัวได้ดีขึ้น

    เล็งซื้อกิจการในมาเลเซียเพิ่ม

    นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการหาโอกาสเข้าไปซื้อบริษัทประกันในมาเลเซียร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเช่นเดิม แต่ยังอยู่ในกระบวนการเตรียมข้อมูลอีก 2-3 เดือนเพื่อยื่นขออนุญาตจากทางธนาคารกลางมาเลเซีย ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 200-250 ล้านบาท บริษัทจะมีสัดส่วนการถือหุ้น 20% ขณะที่เวียดนามนั้น บริษัทเคยมีธุรกิจร่วมทุน แต่ได้แยกตัวออกมาเมื่อ 4-5 ปีก่อน เนื่องจากแนวทางการบริหารไม่ตรงกัน แต่ในอนาคตหากมีการขายหุ้นออกมาจะเป็นโอกาสของบริษัทได้

    อย่างไรก็ตามประเทศในเออีซีที่แลดูมีโอกาสทางธุรกิจมากในขณะนี้ หนีไม่พ้นพม่าที่นักลงทุนต่างแห่แหนเข้าไปในขณะนี้ แต่ในแง่ธุรกิจแล้วในขณะนี้ยังต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 10 ปี ปัจจุบันธุรกิจประกันในพม่ามีอยู่แห่งเดียวถือหุ้นโดยรัฐบาลพม่า และการเข้าไปทำธุรกิจประกันในพม่าขณะนี้ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก หรือต้องมีเงินกองทุนขั้นต่ำ 50 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในอาเซียน เทียบกับกัมพูชาที่ 7 ล้านดอลลาร์ หรือมาเลเซียกำหนดที่ 100 ล้านริงกิตหรือ 1,000 ล้านบาท

    และแม้ว่าธนาคารกรุงเทพจะได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารต่างประเทศในพม่า แต่ไม่ได้เอื้อต่อการเข้าไปทำธุรกิจของบริษัทมากนัก เนื่องจากยังไม่สามารถให้บริการลูกค้ารายย่อย ได้

    “การเปิดเสรีทุกประเทศจะสร้างกำแพงไว้ก่อนโดยทั่วไป ถ้าประเทศไม่มั่นใจก็จะเรียกเงินกองทุนสูงไว้ก่อน“

    เขากล่าวว่า แม้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจต่างประเทศยังต่ำกว่า 5% แต่ก็ถือว่าให้การลงทุนต่างประเทศให้ผลตอบแทนเช่นในฟิลิปปินส์ที่สามารถจ่ายปันผลได้ 4-8% ขณะที่กัมพูชาให้ผลตอบแทนตั้งแต่ 6-15%

    บำรุงราษฎร์เล็งขยายธุรกิจในจีน

    ชัยยังกล่าวถึงรพ.บำรุงราษฎร์ที่เขานั่งเป็นประธานกรรมการอยู่ว่าผลจากการเข้าสู่เออีซีไม่ได้กระทบกับธุรกิจโรงพยาบาลมากนัก เพราะการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์ที่แม้จะเปิดเสรีมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำได้ง่ายนัก แต่ บำรุงราษฎร์จะพยายามขยายในประเทศเป็นหลักโดยได้ซื้อที่ดิน 5 ไร่บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ไว้แล้ว

    อย่างไรก็ตามบริษัทได้มองไปถึงการลงทุนในประเทศจีน ล่าสุดได้มีการลงนามในการเข้าไปลงทุนในมองโกเลียซึ่งเปิดให้หมอเข้าไปให้บริการได้ โดยได้ซื้อโรงพยาบาลที่ยังดำเนินงานอยู่และต้องการขยายกิจการ และอยู่ระหว่างขอทางการจีนเข้าไปเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ หลังจากที่จีนมีแผนจะเปิดให้ต่างชาติเข้ามาเปิดโรงพยาบาลในเขตพื้นที่กำหนดไว้ เช่นในเซี่ยงไฮ้ที่ทางการจีนอนุญาตให้เปิดโรงพยาบาลต่างประเทศ 6-7 แห่ง ซึ่งบำรุงราษฎร์จะเป็นหนึ่งในนั้นร่วมทุนกับธุรกิจท้องถิ่นและฮ่องกง เป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง เน้นเฉพาะโรคกระดูก คาดว่างบลงทุนจะตกราว 12-13 ล้านต่อเตียง หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท

    Tags : ชัย โสภณพนิช • เออีซี • ซื้อกิจการ • บำรุงราษฎร์

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้