ผอ.ศูนย์วิจัยค้าทองคำประเมินในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจได้เห็นจุดต่ำสุดใหม่ของราคาทองคำ นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวถึงแนวโน้มราคาทอง และทิศทางการลงทุนว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในเดือน ต.ค.57 ปรับตัวลดลง 3.94 จุด จากเดือน ก.ย. สะท้อนมุมมองเชิงลบเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งสอดคล้องกันทั้งกลุ่มผู้ลงทุนทองคำและกลุ่มผู้ค้าทองคำ โดยได้รับแรงกดดันมาจากการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และความวิตกการส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จบนโยบายคิวอี (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) ขณะเดียวกันก็มองว่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อไป นอกจากนั้น ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในระยะ 3 เดือนข้างหน้ากลับมาสะท้อนมุมมองเชิงลบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยค่าดัชนีลงมาอยู่ที่ระดับ 49.57 จุด ลดลงจากเดือนก่อน 7.08 จุด สะท้อนว่าในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า กลุ่มตัวอย่างไม่แน่ใจว่าราคาทองคำจะสามารถฟื้นตัว โดยมีการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐเป็นปัจจัยกดดัน คาดเห็นจุดต่ำสุดใหม่ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวต่อว่า ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่า ประกอบกับแนวโน้มการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหาช่องการลงทุนรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทองคำแทน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงขายในตลาดทองคำเหมือนในช่วงที่ผ่านมา และประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ เราอาจได้เห็นจุดต่ำสุดใหม่ของราคาทองคำที่ระดับ 1,130-1,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากจุดต่ำสุดเดิมที่ระดับประมาณ 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ "ปัจจัยลบที่ทำให้ราคาทองคำปรับลดลงตอนนี้ คือ เศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่คอยเข้ามากระตุ้น อาทิ ความเสี่ยงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทั้งรัสเซีย ตะวันออกกลาง และการแพร่ระบาดของไวรัสอีโบลา หากมีการแพร่ระบาดไปยังประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และมีความสำคัญ จะทำให้คนเกิดความกังวลและเปลี่ยนมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำแทน" นายกมลธัญ กล่าว ราคาปีหน้ายังขาลง นายกมลธัญ กล่าวอีกว่า ในปีหน้านักลงทุนยังจะเห็นราคาทองคำที่พักตัวต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าจะมีความชัดเจนและแข็งแกร่งมากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีก ประกอบกับการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐที่น่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า ทำให้นักลงทุนเทขายทองคำและเข้าลงทุนในรูปแบบอื่นที่มีผลตอบแทนสูงกว่า ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐจะมีคณะกรรมการสายเหยี่ยวมากขึ้น ซึ่งจะทำให้นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ชัดเจนมากขึ้นด้วย โดยเรามองกรอบราคาทองคำปีหน้าที่ 1,330-1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ "แม้จะมีปัจจัยบวกจากภาพแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามด้วยเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาสหรัฐสะสมปัญญาและสะสมหนี้จากการลงทุนส่วนต่างๆ ไว้เยอะ เราไม่สามารถประเมินได้ว่าเมื่อไรที่ฟองสบู่ที่สหรัฐสะสมไว้จะแตก เรามองว่าระยะสั้นการลงทุนทองคำอาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ระยะยาวทองคำเป็นสิ่งที่น่าลงทุนและน่าครอบครอง" นายกมลธัญ ระบุ เชื่อทองไม่ร่วงถึง 1,100 นายชลธิศ นวลพลับ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ราคาทองคำเริ่มผันผวนและปรับลดลงมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการที่สหรัฐจะลดมาตรการคิวอีที่มีอยู่ จนทำให้เกิดแรงขายทองคำไปลงทุนในประเภทอื่นแทน โดยเรามองว่าราคาทองคำน่าจะยืนได้ในจุดต่ำสุดเดิมที่ระดับ 1,180 ดอลลาร์ แต่ก็มีโอกาสที่จะหลุดต่ำกว่านั้น หากสหรัฐมีการประกาศขึ้นดอกเบี้ยทันที แต่เชื่อว่าจะไม่ปรับลดลงถึงระดับ 1,100 ดอลลาร์ ตามที่หลายฝ่ายกังวล ทั้งนี้ ในช่วงที่ราคาปรับลดลง ถือเป็นช่วงที่นักลงทุนควรซื้อเก็บไว้ โดยทางเทคนิคมีโอกาสไหลลงที่ระดับ 1,150 ดอลลาร์ได้ "สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาปรับลดลงค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ร้านทองในไทยเงียบเหงา เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลของชาวอินเดียที่มีการซื้อทองคำ ขณะที่คนไทยเองก็มาต่อแถวซื้อทองจำนวนมาก เพราะราคาปรับลดลงค่อนข้างเยอะ" นายชลทิศ ระบุ ราคาปีหน้าอยู่ที่ 1,300 ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวต่อว่า ประเมินทิศทางราคาทองปีหน้ายังแกว่ง sideway (ราคาเคลื่อนที่ขึ้นลงในกรอบแคบๆ เคลื่อนตัวไปด้านข้างและมีทิศทางที่ไม่แน่นอน) โดยระดับราคาทองคำในปีหน้าประเมินว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไป นอกจากว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อาทิ การก่อการร้าย หรือการทำสงครามที่รุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้คนต้องการครอบครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นค่อนข้างแรงได้อีก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำมีการผันผวนตลอดเวลา นักลงทุนควรตื่นตัวและติดตามข่าวสารที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในทางเทคนิค ราคาทองคำที่ระดับ 1,220 ดอลลาร์ต่อออนซ์ควรขายทำกำไร และรอซื้อเมื่อราคาปรับลดลงใหม่ เนื่องจากในช่วงสั้นมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อ ส่วนในระยะกลางน่าจะมีความต้องการซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นเทศกาลของชาวอินเดีย "ในระยะสั้นคาดว่าราคาทองคำยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อไป แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่บริเวณแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,235-1,240 และ 1,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ การลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สแนะนำเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาทองคำปรับตัวย่อลงมาที่แนวรับ 1,215 และ 1,205 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุน (cut loss) ที่ระดับ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์" ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าว ตั้งศูนย์"โกลด์ เอ็กซ์เชนจ์" นายชลธิศ กล่าวด้วยว่า การจัดตั้งศูนย์บริการทองคำ หรือ โกลด์ เอ็กซ์เชนจ์ (Gold Exchange) สำหรับเปิดให้บริการซื้อขายทองคำในประเทศ ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพราะจะช่วยเรื่องการซื้อทองคำและการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนในประเทศได้เข้ามาซื้อทองคำอย่างปลอดภัยและโปร่งใส ประกอบกับที่ผ่านมาความต้องการซื้อทองคำในประเทศมีมาก แต่ผู้ค้าทองในประเทศมีทองไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็ต้องไปซื้อทองจากตลาดต่างประเทศเพิ่ม ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนจากจุดนั้นส่งผลให้ค่าเงินบาทผันผวน ฉะนั้นถ้าบ้านเรามีศูนย์ Gold Exchange เป็นของตัวเอง จะทำให้ผู้ค้าทองคำแต่ละรายหันมาจับมือร่วมกัน และสามารถให้บริการซื้อขายทองคำได้ทันกับความต้องการมากขึ้นกว่าเดิม Tags : กมลธัญ พรไพศาลวิจิต • ราคาทองคำ