หวั่นยึดอำนาจฉุดกำไรบจ.ทรุด

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 26 พฤษภาคม 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    สมาคมนักวิเคราะห์ เตรียมทบทวนคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ใหม่ หลังปฏิบัติการยึดอำนาจโดยกองทัพ บล.เอเซีย พลัส คาดฉุดกำไรลง 2%

    สมาคมนักวิเคราะห์ เตรียมทบทวนคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ใหม่ หลังปฏิบัติการยึดอำนาจโดยกองทัพ บล.เอเซีย พลัส คาดฉุดกำไรลง 2% หั่นประมาณการเติบโตเหลือ 7% ขณะที่ บล.กรุงศรี รอประเมินสถานการณ์ เชื่อมีผลกระทบแน่ ด้าน บลจ.โซลาริส มองยึดอำนาจกระทบหุ้นไทยไม่มาก เหตุต่างชาติขายออกไปมากแล้ว เชื่อสิ้นปีดัชนีมีลุ้น 1,515 จุด หวังการเมืองคลี่คลายต่างชาติกลับลงทุน

    นางภรณี ทองเย็น อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนและผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า สมาคมฯ อาจต้องทำการสำรวจความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์ที่มีต่อแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยใหม่ หลังจากเกิดเหตุการยึดอำนาจการปกครองโดยกองทัพ ซึ่งอาจมีผลต่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเหตุการณ์ดังกล่าวยังอยู่นอกเหนือการวิเคราะห์ของบรรดานักวิเคราะห์ในการประเมินรอบที่ผ่านมาด้วย “ทางสมาคมมองว่า เราต้องสำรวจความคิดเห็นเพื่อปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนใหม่ ทั้งหมด หลังจากที่มีการทำรัฐประหาร เพราะเป็นผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจโดยตรง และเราไม่ได้ทำการสำรวจในส่วนนี้ ซึ่งหลังจากนี้เราต้องหารือกับสมาชิกสมาคม เพื่อกำหนดทิศทางการสำรวจใหม่ และจะทำโดยเร็วที่สุด” นางภรณีกล่าว

    ส่วนของ บล.เอเซีย พลัส ได้มีการปรับประมาณการกำไรใหม่ หลังจากมีการประกาศกฎอัยการศึก ส่งผลให้เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของตลาดหุ้นไทยในปี 2557 อยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท และ 9.8 แสนล้านบาท ในปี 2558 ลดลงจากเดิม 2 % ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้น มีการปรับลดลง 2.8 % จากเดิม 100.96 บาทต่อหุ้น เหลือ 98.14 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่าอัตราการทำกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 7.74 % ปรับลดลง 2 % เทียบเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน

    ผลดังกล่าวส่งผลให้บริษัทได้ปรับลดดัชนีเป้าหมายของปี 2557 ใหม่ ปรับลดลงเหลือ 1,374 จุด จากโดยอ้างอิงกับราคาปิดกำไรต่อหุ้นที่ 14 เท่า โดยเป็นผลมาจากการปรับลดกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มองว่ากำไรจะลดลง 3.4 % จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น กลุ่มพลังงาน ที่คาดว่ากำไรจะลดลง 2.9 % จากธุรกิจอะโรเมติกส์ที่ยังย่ำแย่ เพราะกำลังการผลิตเกินความต้องการของโลก กลุ่มเกษตร ปรับลดกำไรลง 6.6 %จากต้นทุนวัตถุดิบที่มีแนวโน้มสูงขึ้น กลุ่มโรงแรม ปรับลดลง 8.7 % จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน

    แต่กลุ่มที่มีการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นนั้น ได้แก่กลุ่ม สื่อสาร ปรับกำไรเพิ่มขึ้น 6.6 % จากหุ้นในบางตัว มีการขาดทุนลดลงจากการรับรู้กำไรจากการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ปรับเพิ่มกำไรเพิ่มขึ้น 14.6 % จากผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น กลุ่มขนส่ง เพิ่มขึ้น 12.1 % จากการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีใหม่

    นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ไว้ที่ 9 % แม้จะมีการรัฐประหาร เพราะมองว่าขณะนี้ยังเร็วไปที่จะปรับลดการคาดการณ์ลง ซึ่งยังต้องรอดูความชัดเจนก่อน

    “เรามองว่าเร็วเกินไปที่จะปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน เพราะพึ่งมีการยึดอำนาจการปกครอง ฝุ่นยังตลบอยู่ ทำให้เราต้องรอดูว่าโรดแมปก่อนว่า มีแผนการอย่างไร และจะตั้งรัฐบาลที่มาจากพลเรือนอย่างแท้จริงได้เมื่อไหร่ แต่ยอมรับว่าการยึดอำนาจการปกครองในครั้งนี้คงกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนแน่นอน”

    เขากล่าวว่า ทั้งนี้บริษัทได้มีการประเมินการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 9 % ระดับดัชนีที่ 1,420 จุด และมีราคาปิดกำไรต่อหุ้น ที่ 14 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับดัชนีปัจจุบัน โดยการปรับลดนั้นน่าจะปรับลดทั้งประมาณการณกำไรบริษัทจดทะเบียนลง และ ปรับลดประมาณการ การเติบโตของจีดีพีลดลงเช่นกัน จากเดิมที่ มองว่าจะขยายตัว 2.5-3 % ทั้งนี้บล.กรุงศรีขอรอดูตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่จะออกในช่วงเดือนสิงหาคม อีกครั้ง จะทำให้เห็นภาพของตลาดชัดเจนมากขึ้น

    อย่างไรก็ตามสำหรับความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย เทียบกับภูมิภาค ต้องถือว่ามีความน่าสนใจน้อยลง เนื่องจากราคาปิดกำไรต่อหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 14.7 เท่า เทียบกับภูมิภาคที่ 14.3 เท่า แสดงให้เห็นว่า ระดับพี/อีของเราสูงกว่าเพื่อนบ้าน อีกทั้งอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทยยังมีข้อกำจัดเยอะมาก ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่น่าสนใจในการลงทุน ต้องรอการเข้าซื้อเมื่อดัชนีปรับตัวลดลง

    ด้าน นายสุรเชษฐ์ ศรีวัฒนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน และผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บลจ.โซลาริส กล่าวว่า การยึดอำนาจการปกครองในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นบ้างแต่ไม่มาก เพราะนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปมากแล้วในปีที่ผ่านมากว่า 2 แสนล้านบาท และในปีนี้ก็ยังขายอยู่

    โดยแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ อาจจะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก และเขามองว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่1,350 จุด และมีเป้าหมายดัชนีปีนี้ที่ระดับ 1,515 จุด ซึ่งประเมินว่าน่าจะมีการปรับขึ้นได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ จากเงินทุนไหลเข้าของต่างชาติที่จะไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากเห็นภาพทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น

    ประกอบกับแรงซื้อในกองหุ้นประหยัดภาษีที่จะเข้ามาในช่วงไตรมาสที่ 4 น่าจะผลักดัชนีให้ปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายที่ระดับ1,515 จุดได้ไม่ยากนัก และเขาประเมินว่าในแง่ของพื้นฐานน่าจะอยู่ระดับ 1,450 จุด แต่ด้วยเงินทุนไหลเข้าของต่างชาติ ที่จะเข้ามาน่าจะผลักดันตลาดหุ้นปรับขึ้นสู่เป้าหมายปีนี้ได้ไม่ยากนัก และมีเป้าหมายปีหน้าที่ 1,600 จุด

    “อย่างไรก็ตามหน้าตาของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีอาจจะมีผลต่อเงินทุนที่จะไหลเข้ามาบ้างเช่นกัน แต่แนวโน้มและทิศทางการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติยังน่าจะเป็นไปตามแนวนี้ เพราะจากข้อมูลสถิติในอดีตหลังปีที่นักลงทุนต่างชาติขายหนักในตลาดหุ้นไทยปีถัดมาจะกลับเข้ามาซื้อ แม้ในปัจจุบันยังเป็นยอดขายสุทธิอยู่แต่เชื่อว่าเงินต่างชาติจะเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ และทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในลักษณะขาขึ้น (SIDEWAY UP) สู่เป้าหมายได้”

    Tags : สมาคมนักวิเคราะห์ • ตลาดหุ้น • กำไรบจ.

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้