"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กับ "เศรษฐา ทวีสิน" มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ทำไม "ยิ่งลักษณ์" และ "เศรษฐา" ถึงต้องไปพบกันที่ "โฟร์ซีซั่นส์" และอีกหลายๆ คำถาม ยังเป็นข้อสงสัยในสังคมไทยมาจนถึงทุกวันนี้ ภายใต้ธงของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องการแฉเนื้อในของ "ยิ่งลักษณ์" โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ที่อาจจะเป็นไปได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีข้อมูลเด็ดอยู่ในมือ หรือถือไพ่เหนือกว่า หลังลงมาเล่นเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพียงแค่ต้องการให้ "ยิ่งลักษณ์" ออกมาพูดว่า ไปทำอะไร คุยกันเรื่องอะไร เพราะต้องไม่ลืมว่า "ศิริโชค" เป็นสมาชิกโปโลคลับ เช่นเดียวกับ "เศรษฐา" ที่คลั่งไคล้เกมฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ขณะเดียวกัน ต้องมีคนรู้ความเคลื่อนไหวภายในโปโลคลับ หรือรู้เรื่องเกี่ยวกับ "เศรษฐา" เป็นอย่างดี ก่อนจะส่งข่าวมายัง "ศิริโชค" และนำมาเป็นประเด็นโจมตี "ยิ่งลักษณ์" กับ "เศรษฐา" ต่อกรณีดังกล่าว "ศิริโชค โสภา" ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.สงขลา ให้สัมภาษณ์กับ "มติชนออนไลน์" ว่า ต้องเข้าใจพื้นฐานผมก่อน เพราะผมเป็นสมาชิกโปโลคลับ มีกลุ่มเพื่อน มีเครือข่ายเยอะ และทราบเรื่องประเภทนี้มานานแล้ว ฟังเรื่อยมา และคุณเอกยุทธก็ชอบไปนั่งที่โฟร์ซีซั่นส์ ก่อนจะเจอเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์ที่ว่าก็คือ คุณยิ่งลักษณ์แอบไปโฟร์ซีซั่นส์ในเวลาประชุมสภา ฉะนั้นเมื่อเป็นข่าวใหญ่ ต้องตั้งข้อสังเกตขึ้นมาว่า คุณยิ่งลักษณ์ไปเพื่ออะไร ทำไมถึงปกปิดข้อเท็จจริง และพรรคเพื่อไทยที่ออกมาพูดคนละทิศคนละทาง แม้กระทั่งรองนายกฯเฉลิม และคุณยิ่งลักษณ์ พูดไม่เหมือนกัน คือคุณยิ่งลักษณ์ บอกว่าไม่ได้ไปประชุม แต่รองนายกฯเฉลิม บอกว่าไปประชุม ล่าสุด คุณเศรษฐาก็บอกว่าไปประชุม เลยต้องถามว่าใครพูดจริง ใครพูดโกหกกันแน่ นอกจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง มีอะไรเป็นหลักฐานอื่นอีกหรือไม่? "ต้องค่อยไปทีละนิดทีละหน่อย" แต่ว่าเราได้ยินเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนมาโดยตลอด เช่น การประมูลที่ดินรัชดาของคุณหญิงพจมาน ถามว่า 2 บริษัท ที่เข้าไปประมูลและถอนตัวออกคือบริษัทอะไร คือบริบัทแสนสิริและแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มีการพูดอยู่เสมอ เราก็เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ แต่ทำไมต้องเป็นคุณเศรษฐา เพราะเขารักฟุตบอลมาก ชีวิตจิตใจคือฟุตบอล เขาไปยึดสมาคมฟุตบอลในโปโลคลับ และเอาพนักงานแสนสิริไปบริหารในนั้น ไปทำให้คนที่เล่นฟุตบอลแบบสุขสบายอยู่ไม่ได้ ใครที่อยู่คนละข้างกับเขาก็ถูกกดดันจนอยู่ไม่ได้ เวลาเขานัดแขกก็จะนัดที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เรื่องนี้คนรู้มาโดยตลอดว่าจะคุยกับคุณเศรษฐา ต้องไปที่โฟร์ซีซั่นส์ เมื่อคุยเสร็จก็จะไปเล่นฟุตบอลที่โปโล ฉะนั้น ถ้าเป็นโรงแรมแชงกรี-ลา โอเรียนเต็ล ก็ไม่สงสัยว่าเป็นคุณเศรษฐา เมื่อเป็นโรงแรมใกล้โปโลคลับ ก็ต้องชี้เป้าว่าเป็นคุณเศรษฐา ทำไมไม่เริ่มต้นด้วยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เริ่มด้วยเรื่องใต้สะดือ? ไม่มีใครเอาเรื่องใต้สะดือมาเป็นตัวนำเลยครับ เวลาเราพูดถึงกรณีคุณยิ่งลักษณ์ เราพยายามบอกว่า คุณยิ่งลักษณ์ไปว.5 ที่โฟร์ซีซั่นส์ ขณะนั้นยังไม่มีตัวละครคือคุณเศรษฐา เราไม่สามารถโยงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้ แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคุณเศรษฐา เมื่อเขาเปิดเผยตัวตน แน่นอนก็ต้องเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ฉะนั้น สิ่งที่เราถามช่วงแรกคือ ไปทำอะไรที่นั่น ซึ่งคนก็จินตนาการเยอะแยะไปหมด แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยบอกว่าเป็นเรื่องใต้สะดือ แต่รายการสายล่อฟ้าบางช่วงบางตอนพยายามใส่เรื่องใต้สะดือเข้าไป? ผมว่าไม่นะ แล้วแต่คนจะจินตนาการ เหมือนเราหยอกล้อกัน หรือเหมือนคำว่า "เอาอยู่" ใครเป็นคนริเริ่มล่ะ ไม่ใช่รายการสายล่อฟ้า แต่มีคนนำไปพูดทั่วไป ถามว่าคำว่า "เอาอยู่" ไม่เห็นมีคนด่า ทั้งๆ ที่มีคนพูดอยู่เสมอ เช่นเดียวกับคำว่าป้าย "เอาอยู่" ตอนที่เห็นในอินเตอร์เน็ต หรือตอนที่คนเขาเอามาล้อกัน ผมก็เอามาแสดงให้เห็นว่า อยากให้คุณยิ่งลักษณ์ออกมาชี้แจง ถ้าปล่อยไว้ก็จะมีปัญหา ซึ่งคำว่า "เอาอยู่" ก็อาจจะหมายถึงการทำความสะอาดห้องให้น่าอยู่ ผมพยายามทำให้รัฐบาลออกมาพูด เพื่อจะได้กลบเกลื่อนปัญหาทั้งหมดที่คนเขากำลังพูดทั่วบ้านทั่วเมือง ไพ่ใบต่อไปคืออะไร? ขณะนี้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน คือ 1.เมื่อเปิดตัวละครออกมาว่าเป็นคุณเศรษฐา และบอกว่าคุยเรื่องประเมินราคาที่ดิน เราก็ตั้งข้อสังเกตว่า เดิมกรมธนารักษ์จะประกาศใช้ภายในวันที่ 31 ธ.ค. แต่วันนี้ถูกเลื่อนออกไป ต้องถามว่าทำไมถึงเลื่อนออกไป 1 ปี ตกลงกันยังไม่เสร็จหรือเปล่า เพราะผลการประเมินที่ดินมีผลต่อการขายอสังหาริมทรัพย์ 2.ผังของ กทม. เดิมจะประกาศ ปรากฎว่าเลื่อนออกไปอีก 6 เดือน 3.พื้นที่รับน้ำเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าคนที่รู้ตรงนี้ก็รวยเลย เพราะเมื่อรู้ว่าที่ไหนเป็นที่รองรับน้ำ ก็ต้องไปซื้อที่อื่น สุดท้ายคือก่อนหน้านี้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์พยายามออก พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นกฎหมายที่พรรคประชาธิปัตย์ใจกล้า เพราะเป็นการทำลายฐานเสียงตัวเอง ขณะเดียวกันคนที่มีที่ดินมากคือชนชั้นกลางกับคนรวย แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ยอมยืนยันกฎหมาย ทั้งที่อยู่ในสภาแล้ว เมื่อเราเห็นแสนสิริเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เริ่มอ๋อ... ถามว่าบริษัทเหล่านี้มีที่ดินหรือไม่ เมื่อ พ.ร.บ.ดังกล่าวออกไป ใครได้รับผลกระทบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลตอบคำถามยากมาก เรื่องแบบนี้โทรศัพท์คุยกันก็ได้ ไม่ง่ายกว่าเหรอ? ตรงนี้ก็แสดงไปถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างคุณยิ่งลักษณ์กับคุณเศรษฐา ต้องดูพื้นฐานว่าสนิทแค่ไหน ทำไมคุณเศรษฐาถึงเรียกคุณยิ่งลักษณ์ไปเจอที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ได้ ตรงนี้ผมไม่อยากจะตอบ แต่มีข้อมูลแล้ว เพราะผมคิดว่าตรงนี้ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องเสาะหาข้อมูลมาบอกกับสาธารณะ แต่สิ่งที่อยากจะบอกเป็นเรื่องของประโยชน์ทับซ้อน เพราะคุณเศรษฐาเป็นเจ้าของโครงการแสนสิริ ประเด็นโฟร์ซีซั่นส์สามารถล้มรัฐบาลได้หรือไม่? ผมว่าหนักนะ เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม เช่น เรื่องฟลัดเวย์ ถ้าใครมีอิทธิพลในการเปลี่ยนทิศทางน้ำใหม่แล้วไม่เป็นตามธรรมชาติ เมื่อน้ำท่วมมาคน กทม.ก็จะเดือดร้อน ภาพที่ออกมาหลายคนมองว่า ปชป.รังแกผู้หญิง? ผมคิดว่าคนที่จะมาเป็นนักการเมืองต้องถอดเรื่องเพศออก ครั้งหนึ่งสื่อมวลชนก็ถามคุณยิ่งลักษณ์ว่า เพศหญิงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานหรือไม่ คุณยิ่งลักษณ์ก็ตอบชัดว่า ไม่มีอุปสรรคแน่นอน และวันนี้ก็วิงวอนว่า อย่าเอาเรื่องผู้หญิงเป็นเกราะกำบัง เพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ เมื่อมาเป็นนักการเมือง ไม่ว่าหญิงหรือชายต้องมีการตรวจสอบ คุณรังสิมา รอดรัศมี ก็พูดชัดว่า แม้ว่าคุณพรศักดิ์ ศรีละมุน แกนนำเสื้อแดง จะรังแก เขาก็ไม่เคยเรียกร้องความเป็นสตรีออกมา อาจารย์สมเกียรติ (อ่อนวิมล)วิจารณ์คุณศิริโชคว่าต่ำกว่ามาตรฐาน รับได้หรือไม่? ผมมองว่าอาจารย์สมเกียรติรับข้อมูลมาบางส่วน เปรียบการฉายหนังความยาว 2 ชั่วโมง อาจารย์สมเกียรติดูบทจูบมาแค่บทเดียว 5 นาที ก็มาตีความว่าลามก ทั้งๆ ที่ทั้งเรื่องมีหลายบท ไม่ว่าจะเป็นบู๊ บู๋น รัก ร้องไห้ ขณะที่รายการสายล่อฟ้า ซึ่งออนไลน์มาหลายร้อยชั่วโมง เราก็ทำทุกเรื่อง ตั้งแต่ของแพง หรือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีทุกเรื่อง อาจารย์สมเกียรติบอกว่านักการเมืองไม่ควรลงมาทำหน้าที่สื่อมวลชน? เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วย เพราะสื่อสมัยใหม่มีเรื่องอินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้อง สื่อเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเฟซบุ๊กก็คือสื่อ สื่อสองทางด้วย ผมเคารพอาจารย์สมเกียรติ แต่วันนี้โลกก้าวหน้าไปไกลแล้ว ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างประชาชนกับสื่อมวลชน ทุกวันนี้ทุกคนเป็นสื่อมวลชนได้ นักการเมืองก็ต้องมีความรับผิดชอบ มีมากกว่าประชาชนทั่วไป คือ นักการเมืองขึ้นศาลเดียว ประชาชนทั่วไปขึ้น 3 ศาล เมื่อนักการเมืองไปพูดที่สาธารณะ สุดท้ายผลกระทบก็ต้องอยู่ที่นักการเมืองคนนั้น คนที่ดู "บลูสกายทีวี" คือใคร? "คนทั่วไป" เพราะบลูสกายขึ้น NSS 6 ของเนเธอร์แลนด์ ทาง KU-Band และ C-Band และขึ้นไทยคมด้วย และการที่อาจารย์สมเกียรติพูดว่าบลูสกายไม่ได้ขึ้นดาวเทียมของประเทศไทย เป็นทีวีเถื่อน ซึ่งไม่ใช่ ท่านก็ผิดด้วย แต่โดยรวมคงเตือนด้วยความหวังดี เช่น พรรคการเมืองควรเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ ท่านเข้าใจผิด เพราะบลูสกายไม่ใช่ของพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่คนที่รักและสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์รวมตัวกันและทำสถานีนี้ขึ้นมา เพราะโดยรัฐธรรมนูญแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถทำได้ ยกตัวอย่างรายการสายล่อฟ้า ล่าสุดทำลายสถิติ รายการออกไม่ถึง 1 ชั่วโมง มี SMS เข้ามามากถึง 2,000 SMS ไม่เคยมีรายการไหนทำได้ถึงขนาดนี้ คนตกใจมาก รายการทั่วไป 200 ก็เก่งแล้ว นี่เป็นปัจจัยหนึ่ง ต้องยอมรับว่า 80 เปอร์เซ็นต์คนให้กำลังใจ ที่เหลือก็เป็นกลุ่มเสื้อแดงที่ส่งเข้ามา บอกได้หรือไม่ว่าคนที่ดูบลูสกายทีวีเป็นกลุ่มที่นิยม ปชป.? ไม่ได้ เพราะเรตติ้งจาก KU-Band สามารถวัดได้ รู้ทุกเดือน และตอนนี้เฉพาะ KU-Band ก็ใกล้เคียงกับสปริงส์นิวส์กับเนชั่นแล้ว ทิ้งห่างเอเอสทีวีและเอเชียอัพเดต เมื่อถามว่าแปรความนิยมตรงนี้เป็นคะแนนเสียงได้หรือไม่นั้น ก็ไม่ได้ เพราะผมจัดรายการนี้รายการเดียว และเข้าไปดูสถิติที่เขาเปิดให้ดูเฉยๆ แต่ต้องยอมรับว่าบลูสกายไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว อนาคตหลังจากนี้บลูสกายจะเป็นอย่างไร? ต้องเป็นเรื่องของผู้บริหาร แต่ที่กำลังทำอยู่นี้เขาพยายามเสนอข้อมูลทุกด้าน เป็นข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ต่างจากเอเชียอัพเดตซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้ปลุกระดม ใช่อยู่ที่ดูแล้วบลูสกายอาจจะลำเอียงไปทางพรรคประชาธิปัตย์ แต่ข้อมูลที่นำมาพูดเป็นข้อเท็จจริง จะว่าไปแล้วบลูสกายทีวีเป็นเครื่องมือของพรรคประชาธิปัตย์ก็พูดยาก คล้ายๆ กับมติชนว่าเป็นเครื่องมือของรัฐบาลหรือเปล่า ทำไมถึงเชียร์รัฐบาล ถามว่ารัฐบาลถือหุ้นมติชนหรือเปล่า อันนี้ก็ตอบไม่ได้ ก็เช่นเดียวกันบลูสกายอาจจะเป็นเหมือนเอเอสทีวี ที่วันหนึ่งอาจจะโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนเอเอสทีวี เมื่อก่อนก็บอกว่าเป็นพวกเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์ มาวันหนึ่งเอด่าเอสทีวีพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าเสื้อแดงด่าพรรคประชาธิปัตย์เสียอีก มันพูดยากนะ วันนี้เป็นเพื่อนกัน วันหน้าอาจจะไม่ใช่