กกร.คาดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐอัดฉีดเข้าระบบปีนี้ได้ 1แสนล้าน ห่วงการส่งออกทรุดเหตุเศรษฐกิจโลกชะลอตัว คาดส่งออกปีนี้ทั้งปีติดลบ1% เสนอรัฐบาลเร่งปฏิรูปรฟท.ลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพื่อให้เม็ดเงินระบบราง 1.34 ล้านล้านบาท ใช้ได้ตามแผน จี้รัฐบาลเร่งแก้กฎหมายสำคัญ 4ฉบับ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) วานนี้ (7 ต.ค.) ว่า กกร.เป็นห่วงภาวะส่งออก โดยเฉพาะล่าสุดเดือนก.ย.ที่ผ่านมาซึ่งลดลง 7.4% เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สินค้าเกษตรมีราคาลดลง ทั้งยางพารา ข้าว น้ำตาล แต่หวังว่าไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงใช้จ่ายของชาวจีน รองรับตรุษจีนในปี 2558 จะทำให้การส่งออกปรับตัวดีขึ้น นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า จากการประเมินของภาคเอกชนมองว่างบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลกว่า 3.6 แสนล้านบาท คาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 15% บวกกับงบช่วยเหลือชาวนาอีกกว่า 4 หมื่นบ้านบาท น่าจะทำให้มีงบกระตุ้นเศรษฐกิจรวมกว่า 1 แสนล้านบาท ในส่วนของการท่องเที่ยวน่าจะขยายตัวมากขึ้น เพราะช่วง 3 เดือนสุดท้ายเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเข้ามามากที่สุด หากรัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ท่องเที่ยวได้ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น คาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยปี 2557 เติบโตได้ถึง 2% ส่วนการส่งออก หากช่วง 3 เดือนสุดท้ายสามารถทำได้เท่ากับปีที่ผ่านมาก็จะทำให้ยอดการส่งออกรวมทั้งปีติดลบ 1% ห่วงตลาดสหรัฐ-ยุโรปคำสั่งซื้อชะลอ ขณะที่นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดส่งออกที่มีปัญหา โดยเฉพาะยุโรป และสหรัฐ คำสั่งซื้อเริ่มชะลอตัวแล้ว และจะสิ้นสุดเดือนพ.ย. นี้ ขณะที่เดือนธ.ค.ซึ่งมีวันหยุดมากเพราะเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่วนตลาดจีนยังพอมีความหวัง เพราะช่วงต้นปีจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน ทำให้ในช่วงปลายปีนี้ มีการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตลาดที่เติบโตแข็งแรงดีคือการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราขยายตัวกว่า 10% ส่วนสาเหตุที่มูลค่าการส่งออกลดลงมาจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว และยางพารา ส่วนในปีหน้ามองว่าการส่งออกน่าจะขยายตัวได้ 4% ส่วนจีดีพีขยายตัว 4-4.5% เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาล และการลงทุนโครงการเมกะโปรเจค ส่วนการท่องเที่ยวก็คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นหลังจากที่มีการยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่การท่องเที่ยว และจะมีการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติมากขึ้นรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ในช่วงปลายปี 2558 เสนอปฏิรูปรฟท.ลดต้นทุนโลจิสติกส์ นายสุพันธ์ กล่าวว่า กกร.ยังเสนอแนวทางปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ ลดการใช้เชื้อเพลิง และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการรถไฟฯ กำหนดเสร็จใน 1 ปี จัดตั้งคณะกรรมการขนส่งทางรางของประเทศ โดยต้องสื่อสารให้เกิดความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงองค์กรแก่ผู้เกี่ยวข้องรับทราบ ต้องมีการแปรรูป รฟท. แต่จะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมอย่างไรขึ้นอยู่กับรัฐบาล เช่น อาจจะมีการตั้งกรมรถไฟมาเป็นหน่วยงานกำกับดูแล และให้ รฟท.เป็นหน่วยงานปฏิบัติเท่านั้น หากไม่มีการปฏิรูปอาจทำให้การลงทุนระบบราง ซึ่งมีสัดส่วน 56% วงเงิน 1.34 ล้านล้านบาท ตามแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ปี 2558-2565 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่จะลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มการขนส่งระบบจาก 2.5% เป็น 5% จี้รัฐแก้ปัญหาระบบโลจิสติกส์ นายภาณุมาศ ศรีสุข ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ กกร. กล่าวว่า ศักยภาพการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของไทยลดลงเรื่อยๆโดยเฉพาะระบบราง แม้ว่าภาครัฐจะทุ่มงบปรับปรุงระบบราง 1.34 ล้านล้านบาท ในการปรับปรุงระบบขนส่งทางรางให้มีสัดส่วนการใช้มากขึ้นจากปัจจุบันที่มีเพียง 2.5% ให้เพิ่มเป็น 5 % ภายใน 7 ปี แต่ก็คาดว่าจะสำเร็จได้ยาก และเกิดการใช้เงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นภาคเอกชนจึงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการขนส่งทางราง โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นประธาน และมีกระทรวงคมนาคมเป็นแม่งาน กระทรวงการคลัง และสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ มีอายุการทำงาน 1 ปี ซึ่งมีหน้าที่หลักในการวางโครงสร้างระบบรางทั้งประเทศใหม่ โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะทำหน้าที่วางแนวทางปฏิบัติ ปรับโครงสร้างกระจายอำนาจ ลดความซ้ำซ้อน และมีความชัดเจน ที่ผ่านมามีความล่าช้าทำให้ปรับตัวได้ยาก รวมทั้งมีการปรับปรุงระบบการประเมินผล (เคพีไอ) และปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หลังจากนี้ควรจะตั้งคณะกรรมการขนส่งทางรางชุดย่อย เข้ามาช่วยเหลือการทำงานของคณะกรรมการชุดใหญ่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้มีการสื่อสารถึงประชาชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น จะมีการเสนอคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนในการประชุมเดือน ต.ค. นี้ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กกร.ชงรัฐเร่งแก้กฎหมายธุรกิจ28ฉบับ นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าที่ประชุมยังได้มีมติที่จะเสนอให้ภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ 28 ฉบับ ในจำนวนนี้มีกฎหมายที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน 4 ฉบับ ได้แก่ 1. ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ... เพื่อเพิ่มหลักประกันเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการรายยังขาดหลักประกันเงินกู้ตามที่สถาบันการเงินกำหนดไว้ 2. แก้ไขพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 เพราะปัจจุบันขั้นตอนนำเข้าสินค้าบางชนิดต้องได้รับใบอนุญาตจากหลายกระทรวง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้จะเสียภาษีศุลกากรแล้วก็ตาม โดยตั้งวงเงินปรับตั้งไว้สูงถึง 4 เท่าของราคาสินค้าถือว่าสูงมาก หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี อยากให้ปรับปรุงเพราะผู้ประกอบการไม่ได้มีเจตนาเลี่ยงภาษี เพียงแต่ไม่ทราบถึงรายละเอียดขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆ รวมทั้งยกเลิกมาตรการให้เงินสินบนและรางวัลนำจับ เพราะเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งของผลประโยชน์ แต่หากมีความจำเป็นก็อาจจะคงไว้เฉพาะกรณีที่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยไม่รวมถึงกรณีที่ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี 3. ภาษีสรรพากร เพราะขณะนี้มาตรการภาษียังไม่สนับสนุนภาคธุรกิจในตลาดทุน ทำให้มีต้นทุนในการระดมทุนและการลงทุนของประชาชนที่สูงกว่าประเทศอื่น ส่งผลทำให้เกิดข้อจำกัดในการแข่งขันในระดับภูมิภาคและในประชาคมอาเซียน(เออีซี)ในปี 2558 และขอยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลเพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น และ4.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 21 ตั๋วเงิน เพื่อให้การเคลียริ่งเช็คให้สะดวกรวดเร็ว โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้มีการหมุนเวียนง่ายขึ้น Tags : อิสระ ว่องกุศลกิจ • กกร. • อัดฉีด • กระตุ้นเศรษฐกิจ • บุญทักษ์ หวังเจริญ • สหรัฐ • ยุโรป • ส.อ.ท. • สรรพากร