"เจเอ็มที"ตุนหนี้เสียเข้าพอร์ตเพิ่ม2รายการรวด มูลค่ารวม4พันล. มั่นใจทั้งซื้อหนี้มาบริการได้ครบ2หมื่นล.ตามเป้า เจเอ็มทีตุนหนี้เสียเข้าพอร์ตเพิ่ม 2 รายการรวด มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท จากสินเชื่อบุคคลของอิออน และสินเชื่อเช่าซื้อจากสถาบันการเงินอีกแห่ง รวมแล้ว 18,900 ล้านบาทตั้งแต่ต้นปี มั่นใจทั้งปีซื้อหนี้มาบริหารได้ครบ 20,000 ล้านตามเป้า นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ เดินหน้าซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศซื้อหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อส่วนบุคคล กับบริษัท อิออนธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มูลค่า 1,839 ล้านบาท เพิ่มเติมจากในช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตกับบริษัท อิออน ไปแล้วโดยสัญญามีมูลค่าหนี้ตามสัญญา เท่ากับ 6,908 ล้านบาทส่วนบริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด (JAM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JMT ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้สินที่ดำเนินการทางกฎหมายแล้ว ประกาศซื้อหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กับธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง มูลค่า 2,161 ล้านบาท ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพทั้ง 2 รายการดังกล่าวหลังหักค่าใช้จ่าย ถือว่าอยู่ในระดับปกติเมื่อเทียบกับการซื้อหนี้ในครั้งที่ผ่านมา และเข้ามาสนับสนุนผลงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารแล้วประมาณ 18,900 ล้านบาท เขยิบเข้าใกล้เป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ จะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารอีก 20,000 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าผลงานของบริษัททั้งปี 2557 นี้จะมีความโดดเด่น และเป็นไปตามเป้าหมายได้แน่นอน อย่างไรก็ตามเป้าหมายการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพที่ 20,000 ล้านบาท นั้นมาจากโอกาสทางธุรกิจของบริษัทยังมีอีกมาก ทั้งตลาดรายย่อยที่ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในหนึ่งปีจะมีอัตราการเติบโตจากการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการลงทุนของต่างชาติ และการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ส่งผลให้เอ็นพีแอลในระบบสูงขึ้น สนับสนุนให้เกิดการปล่อยหนี้ออกมาเพิ่มขึ้นตามลำดับ และสนับสนุนพอร์ตบริหารหนี้ในปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 50,000 ล้านบาท จากปี 2556 มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่แล้วที่ 30,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทย่อยทั้ง 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์เจ จำกัด หรือ JAM ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ซึ่งยังมีหนี้ในตลาดนี้อีกมาก ซึ่ง JMT จะเข้าไปรุกตลาดหนี้ประเภทนี้มากขึ้นโดยเน้นหนี้ระดับต่ำกว่าสิบล้านบาท ส่วนบริษัท เจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด หรือ JIB ธุรกิจนายหน้าประกันภัย ทั้งประกันวินาศภัย ประกันรถยนต์ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล เป็นการขยายธุรกิจ และการลงทุนต่ำมาก เนื่องจากใช้บุคลากรเดิม ระบบเดิม ซึ่งบริษัทฯ จำหน่ายผ่านช่องทางโทรศัพท์ และออนไลน์ เหมือนรายใหญ่ในตลาดที่อยู่ในธุรกิจนี้อยู่แล้ว นอกจากนี้ JMT จะขายผ่านโมเดิร์นเทรด รวมทั้งเปิดบูธบริการลูกค้า และใช้ช่องทางขายผ่านร้านเจมาร์ทเพิ่มเติมอีกด้วย จึงเชื่อว่า ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะสนับสนุน JMT ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคตมากยิ่งขึ้นอีก Tags : นายปิยะ พงษ์อัชฌา • เจเอ็มที • JMT • หนี้