กสิกรชี้ลูกค้ารวยตื่นภาษีมรดก เตือนระวังความเสี่ยงจากความผันผวนราคาและอัตราแลกเปลี่ยน กสิกรไทยชี้ลูกค้ารวยตื่นบริหารความมั่งคั่งหลังรัฐเตรียมออกกฎหมายมรดก หันลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ต้องจดทะเบียนเช่นทอง-เครื่องประดับ และออกไปลงทุนต่างประเทศ เตือนระวังความเสี่ยงจากความผันผวนราคาและอัตราแลกเปลี่ยน นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ภาครัฐเตรียมผลักดันภาษีมรดกให้บังคับใช้ในประเทศไทยนั้น แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนทางด้านรายละเอียดของกฎหมาย แต่ข่าวที่ออกมาได้ส่งผลให้ลูกค้ากลุ่มผู้มีความมั่งคั่งของธนาคารเริ่มมีความตื่นตัวในการบริหารความมั่งคั่งและสอบถามเข้ามายังธนาคารมากขึ้น เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการถ่ายโอน ส่งต่อความมั่งคั่งให้กับลูกหลาน ทั้งนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะอยู่ในกลุ่มบุคคลบุคคลธรรมดาซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 4,500 บัญชีทั่วประเทศที่มีเงินฝาก 50 ล้านขึ้นไป แต่หากรวมสินทรัพย์อื่นด้วยก็จะมีประมาณ 20,000 ราย ซึ่งธนาคารจะติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิด หากกฎหมายมีความชัดเจนก็จะเริ่มให้ข้อมูลลูกค้า โดยในช่วงปลายเดือนนี้หรือต้นเดือน พ.ย.ธนาคารจะมีการจัดสัมมนาให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจและเตรียมตัวรองรับกับแนวทางภาษีใหม่ "ลูกค้าก็สนใจเยอะ เข้ามาสอบถามข้อมูล เพื่อเตรียมความพร้อม แต่ในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในต่างประเทศ เพราะทั้งยุโรป สหรัฐ เกาหลีหรือญี่ปุ่น ต่างก็มีการเก็บภาษีในลักษณะนี้ แต่มีรูปแบบการเก็บภาษีต่างกัน บางแห่งใช้อัตราก้าวหน้า 30-40% หลายประเทศก็ลดหย่อนให้ผู้ที่ต้องเสียภาษี ของไทยเองยังไม่ชัดเจน ในอัตราเก็บภาษี ว่าจะมีการเก็บอัตราคงที่เป็นเท่าไร หลาย ๆ หน่วยงานอยู่ระหว่างออกความเห็น หรือหากจะมีการลดหย่อนจะทำได้ในกรณีไหนบ้าง การประเมินหรือจดทะเบียนสินทรัพย์ที่จะนำมาคำนวณภาษี ก็ยังคุยกันอยู่ ซึ่งแบงก์ก็ต้องช่วยติดตามสถานการณ์เหล่านี้เพื่อให้ข้อมูลลูกค้า" ทั้งนี้ลูกค้าอาจจะมีความสนใจปรับพอร์ตการลงทุนและหันไปลงทุนในทองคำหรือเครื่องประดับเช่นแหวน หรือนาฬิกา ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ต้องมีการจดทะเบียนความเป็นเจ้าของ เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการโอนมรดก รวมถึงการหันไปลงทุนในต่างประเทศที่ไม่มีภาษีดังกล่าวบังคับใช้ แต่อย่างไรก็ตามลูกค้าต้องพิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ อย่างรอบคอบ ทั้งความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาสินทรัพย์ สภาพคล่องในการซื้อขายเปลี่ยนมือ หรือแม้กระทั่งความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย นายปกรณ์กล่าวว่า กลุ่มลูกค้ามั่งคั่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการขยายตัวในระดับสูงโดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีสินทรัพย์ 3-40 ล้านบาทที่เติบโตมากถึงปีละ 13% เทียบประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโตอีกเยอะ ขณะที่กลุ่มผู้มีสินทรัพย์ 2-3 ล้านบาท ที่ขยายตัวปีละ 7% ซึ่งธนาคารได้จัดกลุ่มลูกค้าผู้มีเงินฝากเงินลงทุนเกินกว่า 10 ล้านขึ้นเป็นกลุ่มลูกค้าวิสดอม ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้ประมาณ 1.2 แสนราย คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) 60% จากที่ประชากรไทยที่มีความมั่งคั่งตั้งแต่ 10 ล้านขึ้นไปทั่วประเทศมีกว่า 2 แสนราย โดยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของลูกค้ากลุ่มวิสดอมในปัจจุบันมีประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ธนาคารตั้งเป้าหมายว่าในปีนี้จะขยายสินทรัพย์ดังกล่าวเพิ่ม 10% เป็น 1.2 ล้านล้านในสิ้นปี โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจำนวนลูกค้าเพิ่ม 20% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าวิสดอมในต่างจังหวัดมากขึ้นเป็น 35% จากปัจจุบันที่มี 30% ที่เหลืออีก 70% เป็นลูกค้าในกรุงเทพ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มี "จากการเติบโตลูกค้าเวลท์ จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมการออมลูกค้าเปลี่ยนไป เดิมทีจะฝากประจำกับธนาคาร แต่ตอนนี้เริ่มหาทางเลือกลงทุนในตลาด กองทุนรวม หรือผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อหรือเงินฝากแบงก์ ซึ่งที่ผ่านมามีวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้ง นักลงทุนเริ่มรู้ว่าต้องบริหารความเสี่ยงมากขึ้น จึงเห็นว่าลูกค้าเริ่มมีการจัดสรรเงินออมเงินลงทุนอย่างเป็นระบบมากขึ้น มีการกระจายความเสี่ยงเงินลงทุน ทำความเข้าใจตลาดทุนมากขึ้น เป็นที่มาของการให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุน สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง ไม่ใช้แค่คำปรึกษา แต่จะจัดการดูแลทั้งหมด ทั้งการรักษาสินทรัพย์และการส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลาน"นายปกรณ์กล่าว Tags : กสิกรไทย • ธนาคาร • นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ • กฎหมายมรดก • ผลกระทบ