ผู้บริหารแห่ขาย "หุ้นร้อน" เอบีซีแชมป์มูลค่าขายสูงสุด 408.02 ล้านบาท ผู้บริหาร 16 บจ.พร้อมใจทิ้งหุ้น หลังราคาวิ่งเกินพื้นฐาน เอบีซีแชมป์ทิ้งสูงสุด รับทรัพย์ 408.02 ล้านบาท ด้านผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอชี้ ผู้บริหารขายทำกำไรหลังราคาพุ่งแรง ชี้เป็นสัญญาณเตือนหุ้นแพงเกินพื้นฐาน ด้าน ชนิตร รับ ประเมินหุ้นร้อนยาก เพราะหลายบริษัทมีพื้นฐานระดับหนึ่ง แต่กระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่น แนะติดตามผลการดำเนินงานใกล้ชิด จากภาวะตลาดหุ้นมีความร้อนแรงดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น พบว่าผู้บริหารบริษัทที่ราคาหุ้นร้อนแรงมีการขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า ในเดือน ก.ย. มีผู้บริหารขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง 16 บริษัท โดยบริษัทที่พบว่ามีการขายหุ้นมูลค่ามากที่สุด 3 อันดับแรก พบว่า บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ (ABC) ขายหุ้นจำนวน 17.26 ล้านหุ้น มูลค่า 408.02 ล้านบาท โดยราคาหุ้นในเดือน 1-30 ก.ย. ปิดการซื้อขายที่ 4.64 บาทต่อหุ้น ปรับตัวลดลง 5.31 % ในขณะที่ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก บริษัท มีกำไรสุทธิ 190.65 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน 94.71 ล้านบาท อันดับที่ 2 บริษัทเพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) (PERM) ขายหุ้น 46.1 ล้านหุ้น มูลค่า 210.16 ล้านบาท ราคาหุ้นในเดือน ก.ย. ปิดการซื้อขายที่ 2.92 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 66.86 % โดยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 56.64 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 66.45 ล้านบาท และอันดับที่ 3 บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) (CHG) ขายหุ้น 11.20 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 200.08 ล้านบาท ราคาหุ้นในรอบเดือน ก.ย. ปิดการซื้อขายที่ 18.20 บาทต่อหุ้น ปรับตัวลดลง 2.82 % มีกำไรสุทธิ 241.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 33.78 % นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการ และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีความร้อนแรงในตลาดเอ็มเอไอนั้นยังคงมีอยู่ ซึ่งทางเอ็มเอไอได้ติดตามอย่างใกล้ชิด โดยการขายหุ้นของผู้บริหารของหุ้นที่มีความร้อนแรงนั้น เรามองว่า น่าจะเกิดจากการขายทำกำไรหลังจากราคาหุ้นปรับตัวมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนพื้นฐานของหุ้น "ในหุ้นที่มีความร้อนแรงและผู้บริหารขายหุ้นออกมา น่าจะเกิดจากการขายทำกำไร และเห็นว่าราคาหุ้นนั้นอาจสูงกว่าที่เขาประเมินไว้ ซึ่งสัญญาณนี้อาจเป็นตัวสะท้อนให้กับพื้นฐานของหุ้นและเป็นสัญญาณเตือนกับนักลงทุน" นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การควบคุมหุ้นที่มีความร้อนแรงในปัจจุบันนั้นมีความต่างออกไปจากในอดีต โดยหุ้นที่มีความร้อนแรงหลายหลักทรัพย์อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ทำให้นักลงทุนคาดหวังกำไรในอนาคต " หุ้นที่มีความร้อนแรงในปัจจุบันเรายอมรับว่า ดูแลค่อนข้างยาก เพราะในคราวนี้นักลงทุนให้น้ำหนักกับพัฒนาการของกำไรบริษัทจดทะเบียนผลจากการเปลี่ยนธุรกิจใหม่ หรือการควบรวมกิจการเพื่อยอดธุรกิจซึ่งอาจมีผลต่อผลการดำเนินงานบริษัทในอนาคต นักลงทุนจึงคาดหวังกับผลกำไรเข้ามาซื้อหุ้นกันต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปร้อนแรงซึ่งนักลงทุนต้องติดตามพัฒนาการของบริษัทอย่างใกล้ชิด " รองผู้จัดการกล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นรอบนี้เกิดขึ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว และมีธุรกิจใหม่เข้ามาเพิ่มเติมทำให้นักลงทุนคาดหวังผลการดำเนินงาน ลักษณะดังกล่าวคล้ายคลึงกับอดีต ที่มีกลุ่มพลังงานทดแทนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น ท่ามกลางข้อสงสัยของหลายฝ่ายว่าอาจเกิดความผิดปกติ แต่ปัจจุบันเราก็เห็นแล้วว่าภาครัฐบาลได้มีการเร่งออกมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน และผลประกอบการของบริษัทเหล่านั้นออกมาก็ดีตามที่คาดหวัง เมื่อเปรียบเทียบกับการปรับตัวของหุ้นร้อนแรงในปีที่ผ่านมา ที่บางบริษัทอยู่ระหว่างการแก้ไขผลการดำเนินงาน เพื่อให้อยู่ในสถานะบริษัทจดทะเบียน หรือบริษัทที่พึ่งกลับเข้ามาซื้อขาย แต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวเพิ่มขึ้น 200-300 % ในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่ธุรกิจไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เข้าดูแลหุ้นและหยุดความร้อนแรงในหุ้นเหล่านั้นได้ ทำให้เราต้องให้น้ำหนักกับการตรวจสอบหุ้นที่มีความผิดปกติ และให้ความเป็นธรรมกับบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจแท้จริงด้วย Tags : หุ้น • เอบีซี • ตลท. • ธุรกิจ • ตลาดหลักทรัพย์ • รัฐบาล • ผลประกอบการ • บมจ.แอสเซท ไบร์ท