สทท.ชงผ่อนผันเคอร์ฟิวต่างจังหวัด ด้านททท.รับนักท่องเที่ยวปี57วูบ จากปัญหาชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปลายปีก่อน นำมาสู่ความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ล่าสุดการประกาศกฎอัยการศึก เมื่อวันที่ 20 พ.ค. และต่อด้วยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากการยกเลิกเดินทางทันที นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่าหลังการประชุมคณะกรรมการ สทท. จากสถานการณ์การประกาศเคอร์ฟิว ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความสะดวกปลอดภัยเป็นหลัก ดังนั้นหากมีช่องทางสามารถเรียกร้องต่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้ จะขอให้ผ่อนผันกำหนดเคอร์ฟิวในจังหวัดหลักด้านท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต สมุย เช่น อาจเลื่อนกำหนดจาก 22.00 น. เป็น 24.00 น.เพื่อให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด โดยหลังจากการรัฐประหารยอมรับว่า ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อนักท่องเที่ยวพอสมควร โดยเฉพาะตลาดที่อ่อนไหว เช่น ตลาดไมซ์ เป็นต้น เบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ท่องเที่ยวได้ทันที แต่ต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลจากทั่วประเทศอีกราว 2 สัปดาห์ก่อนจะสรุปได้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะไปในทิศทางใด ระหว่างนี้จะมุ่งเน้นดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังคงอยู่ในประเทศ พร้อมกันนี้ยังตั้งความหวังว่าการดำเนินงานของ คสช.จะช่วยเข้ามาปฏิรูปโครงสร้างประเทศทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และปัญหาคอร์รัปชัน โดยที่ สทท.ในฐานะตัวแทน 7 องค์กรธุรกิจของประเทศไทย ยินดีจะมีส่วนร่วมในการช่วยปฏิรูปในด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวผ่านการพัฒนาอาชีวศึกษา และการส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับชุมชน ซึ่งต่อไปจะทำให้เกิดการกระจายรายได้ด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน "ปัญหาการเมืองยืดเยื้อส่งผลต่อการท่องเที่ยวมานาน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นแล้ว ก็ขอให้ผู้มีอำนาจใช้โอกาสปฏิรูปและแก้ไขปัญหาการเมืองให้หมดไปในครั้งนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวยินดีให้ความร่วมมือ โดยเงื่อนไขสำคัญคือขอให้มีความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเดินทางมาไทย" นางปิยะมาน กล่าว ถกเพิ่มวงเงินประกันนักท่องเที่ยว นายธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่ายอมรับว่าการรัฐประหาร ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ ประกอบกับเงื่อนไขเรื่องการประกันภัยเดินทางที่ไม่ครอบคลุมในภาวะการเมืองไม่ปกติ จึงทำให้เกิดการยกเลิกเดินทางทั่วประเทศไปบ้าง และคาดว่าจะเกิดผลกระทบในช่วง 2 สัปดาห์นี้ หลังจากนั้นเชื่อว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ โดยระหว่างนี้จะหารือกับนายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่า จะสามารถเพิ่มวงเงินในส่วนประกันภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติได้หรือไม่ จากเดิมที่มีการประกัน 1 หมื่นดอลลาร์ในกรณีเสียชีวิต และกรณีบาดเจ็บได้ไม่เกิน 1 หมื่นดอลลาร์ สำหรับการเข้ารักษาพยาบาลตามจริง นอกจากนั้นได้ให้ ททท.สำนักงานต่างประเทศ ชี้แจงนักท่องเที่ยว สื่อมวลชนและคู่ค้างต่างประเทศ อาทิ บริษัทค้าส่งทัวร์ (โฮลเซล) พร้อมเตรียมใช้เครือข่ายเฟรนด์ออฟไทยแลนด์ราว 4-5 พันคนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทยที่เคยมีการจัดเก็บข้อมูลและติดต่อข่าวสารกันสม่ำเสมอ และใช้ช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก สื่อสารกับนักท่องเที่ยวให้ทราบว่า แม้ประเทศไทยจะอยู่ในช่วงรัฐประหารและมีการกำหนดเคอร์ฟิว แต่ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมท่องเที่ยวได้ตามปกติ ขณะเดียวกันจะยืนยันดำเนินการแผนฟื้นฟูความมั่นใจในรูปแบบสตรีทอีเวนท์ตามที่วางแผนไว้เหมือนเดิม รวมถึงการเป็นเจ้าภาพ “ไทยแลนด์ ทราเวล มาร์ท พลัส” ซึ่งเตรียมจัดในวันที่ 4-6 มิ.ย.นี้ ตามกำหนดเดิม และจะใช้เป็นเวทีเรียกความเชื่อมั่นของต่างชาติกลับมาด้วย ปัจจุบัน ททท.เดินหน้าทำตลาดแบบแอคทีฟในทุกช่องทาง หากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบ จะต้องเร่งประชาสัมพันธ์แนวใหม่ เน้นสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นตลาดที่มีศักยภาพให้กลับมาได้เร็วที่สุดมาก่อน เป้าหมายคือ นักเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) กลุ่มนักเดินทางซ้ำที่มีสัดส่วนกว่า 60% เพราะกลุ่มนี้รู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี และพร้อมกลับเข้ามาท่องเที่ยว โดยเฉพาะหากมีปัจจัยค่าเงินบาทอ่อนลง จะเป็นแรงจูงใจให้คนที่ต้องการเดินทางมาอยู่แล้ว เลือกเดินทางเข้ามาในช่วงนี้เพิ่มขึ้น ททท.หั่นเป้าตลาดต่างประเทศ นายธวัชชัย กล่าวอีกว่าด้วยผลกระทบจากการเมืองที่มีผลต่อไฮซีซันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้เตรียมปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2557 อย่างไม่เป็นทางการแล้ว จากเดิมตั้งไว้ที่จำนวน 28.04 ล้านคน เหลือ 26.23 ล้านคน แต่ในส่วนของรายได้ประเมินไว้สูงขึ้น จากเดิมตั้งเป้า 1.32 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 1.4 ล้านล้านบาท เนื่องจากประเมินว่าแม้ตลาดเอเชียจะชะลอตัวลง แต่ได้ตลาดยุโรปเข้ามาทดแทน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวและระยะเวลาพำนักนานกว่า ส่วนเป้าหมายปี 2558 นั้น ยังยืนยันเป้าหมายเดิมไว้ที่รายได้รวม 2.2 ล้านล้านบาทรวมกันทั้งตลาดในและต่างประเทศ แต่กลยุทธ์และแผนตลาด อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่มุ่งสร้างกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ มาเน้นตลาดนักเดินทางซ้ำมากขึ้น ทั้งนี้ หลังจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ยังคงมี 50 ประเทศที่ประกาศเตือนภัยนักท่องเที่ยวที่ระดับเดิม โดยในจำนวนดังกล่าวมี ฮ่องกง ประเทศเดียวที่ยกระดับคำเตือนจากสีเหลืองเป็นสีแดง หมายถึง ให้ปรับแผนการเดินทางให้เข้ากับสถานการณ์ และหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็นในช่วงนี้ออกไปก่อน เนื่องจากมีการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลและการกำหนดเคอร์ฟิว ส่วนตลาดท่องเที่ยวในประเทศ ยังยืนยันเป้าหมายเดิมที่ 136.8 ล้านคนครั้ง และรายได้ 7 แสนล้านบาท แต่ในทางตรงกันข้ามจะเร่งส่งเสริมตลาดคนไทยให้เดินทางมากขึ้น เพื่อเป็นส่วนชดเชยรายได้กับตลาดต่างประเทศที่เติบโตแบบชะลอตัวลง "เชื่อว่าเหตุการณ์การเมืองครั้งนี้ ไม่มีผลทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งผู้นำของการท่องเที่ยวภูมิภาคอาเซียน เพราะเรายังมีข้อได้เปรียบอีกหลายด้าน โดยเฉพาะความเป็นศูนย์กลางในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค การมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และอัธยาศัยไมตรีของคนไทยที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากประเทศอื่น" นายธวัชชัย กล่าว อัตราพักโรงแรมกรุงเทพลด10% นางศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่าขณะนี้โรงแรมทุกแห่งได้ร่วมมือกับ ททท.ในการช่วยเผยแพร่กระจายข่าวสารและวิธีปฏิบัติตัวของนักท่องเที่ยวในช่วงที่มีเคอร์ฟิวแล้ว โดยยอมรับว่าหลังการประกาศกฎอัยการศึกและรัฐประหาร ส่งผลให้อัตราเข้าพักเฉลี่ยโรงแรมในกรุงเทพฯ เหลือ 65% ลดลงราว 10% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ 75% แต่สำหรับโรงแรมในจังหวัดท่องเที่ยวชายทะเล อาทิ ภูเก็ต อัตราเฉลี่ยยังสูงที่ 75% เพราะนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยตรง นอกจากนี้ มีมาตรการดูแลพนักงานที่ต้องทำงานในช่วงเคอร์ฟิว โดยการจัดห้องพักภายในโรงแรมให้ค้างคืน และเปิดห้องอาหารในโรงแรมตามปกติเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเดินทางไปรับประทานอาหารข้างนอกได้ นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่าการยกเลิกเดินทางในช่วงนี้เป็นผลกระทบต่อธุรกิจทัวร์แน่นอน แต่อาจจะเป็นระยะสั้นเท่านั้น เชื่อว่าในระยะยาวจะเป็นผลดีมากกว่าปล่อยให้การเมืองเป็นปัญหายืดเยื้ออย่างที่ผ่านมา ทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถเริ่มแผนฟื้นฟูตลาดหรือกำหนดทิศทางให้เหมาะสมได้ เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะยุติอย่างไร Tags : ท่องเที่ยว • สทท. • ททท. • ต่างชาติ • เคอร์ฟิว