หุ้นไทยวานนี้ร่วงหลุดระดับ 1,600 จุด ผลจากแรงขายทริกเกอร์ฟันด์ทำกำไร และตัวเลขส่งออกติดลบกว่า 7% เกินคาด ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29 ก.ย.) ปิดที่ 1,585.79 จุด ลดลง 14.37 จุด หรือ 0.90% มีมูลค่าการซื้อขาย 59,933.16 ล้านบาท หลังจากดัชนีทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 1,602.21 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,578.99 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติ เริ่มขายสุทธิ 1,746.07 ล้านบาท ตามด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 1,878.78 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิเพียง 41.65 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนทั่วไปทุ่มซื้อสุทธิ 3,583.19 ล้านบาท นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เมย์แบงค์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ช่วงเปิดตลาดภาคเช้าดัชนีสามารถขึ้นไปยืนเหนือ 1,600 จุด แต่ในภาคบ่ายดัชนีปรับลดลงมาแรง เป็นผลมาจากแรงขายทำกำไรจากกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีเป้าหมายที่ 1,600 จุด ประกอบกับตัวเลขการส่งออกที่ติดลบกว่า 7% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ติดลบ 3.5% อย่างมาก และในเดือนหน้าคาดตัวเลขการส่งออก น่าจะติดลบต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากหุ้นของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งปรับตัวลดลงตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา "แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันนี้ (30ก.ย.) จนถึงปลายสัปดาห์มีโอกาสรีบาวด์กลับ และเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากมีปัจจัยบวกรออยู่ช่วงท้ายสัปดาห์ ทั้งการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งอาจจะมีการประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา หรือการประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมไปถึงการประชุมของธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 2 ต.ค." นางสาวมยุรี กล่าว ทั้งนี้ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า คาดว่าช่วงครึ่งแรกของเดือนต.ค. ดัชนีจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อ จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่คาดจะเร่งเบิกจ่ายตั้งแต่ 1 ต.ค. ประกอบกับการเก็งกำไรผลประกอบไตรมาส 3 ส่วนในช่วงครึ่งหลังของเดือนต.ค. ตลาดจะเริ่มปรับฐาน จากปัจจัยกดดันคือ ผลการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐที่อาจจะออกมาในเชิงลบ รวมไปถึงแรงขายทำกำไรของนักลงทุนหลังจากดัชนีปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ หากดัชนีขึ้นไปยืนเหนือ 1,600 จุด ให้ทยอยขายทำกำไร ส่วนนักลงทุนที่จะเข้าเก็งกำไรในช่วงนี้ ควรจำกัดวงเงิน เพราะช่วงนี้ตลาดจะผันผวนค่อนข้างสูง ปรับตัวขึ้นลงแรงกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยสัปดาห์นี้คาดว่าดัชนีมีแนวรับที่ 1,575-1,580 จุด และแนวต้านที่ 1,600-1,610 จุด นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.เออีซี คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 4 ปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 1,700 จุด และมีโอกาสจะขยับขึ้นไปถึง 1,760 จุดได้ เพราะพบสัญญาณแรงซื้อของต่างชาติเข้ามาในหุ้นกลุ่ม Big Cap มากขึ้น เพราะราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หลังจากจบปัญหาการเมืองในประเทศช่วงปลายเดือน มิ.ย. มีแรงซื้อของต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 44,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าจากนี้จนถึงช่วงไตรมาส 1 จะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มอีก 50,000-60,000 ล้านบาท "นักลงทุนต่างชาติ มีต้นทุนเฉลี่ยที่ดัชนี 1,552 จุด ซึ่งเชื่อว่าต้องเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ เพื่อดันตัวเลขดัชนีหุ้นขึ้นไปที่ 1,700 จุด จึงจะเป็นจุดที่นักลงทุนต่างประเทศมีกำไรเกิน 10% ส่วนการเข้าลงทุนของต่างชาติทั้งปีนี้ คาดจะเป็นซื้อสุทธิ 20,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่ยังเป็นขายสุทธิอยู่ 1,500 ล้านบาท" นายเกรียงไกร กล่าว ในช่วงไตรมาส 4 ดัชนีหุ้น อาจมีโอกาสปรับฐานได้ แต่จะไม่ลงต่ำเกิน 4% เพราะจะมีกลุ่มต่างชาติรอเข้าซื้อเพื่อหนุนดัชนีกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง ส่วนด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกหุ้นกลุ่ม Turn Around และจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว ยานยนต์ และกลุ่มสินเชื่อ การบริโภค ซึ่งจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2558 จะเติบโต 15% จากปีนี้คาดจะเติบโต 9% พร้อมทั้งคาดดัชนีหุ้นไทยปีหน้าจะอยู่ที่ระดับมากกว่า 1,800 จุด โดยจะได้ประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐและการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะงบการลงทุน 4.5 แสนล้านบาท ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนภาคการลงทุน โดยประเมินจีดีพีปีหน้าที่ 4-5% และมองว่าจีดีพีจะเติบโตสูงสุดในไตรมาส 1 ปี 2558 ที่ระดับ 6% เป็นไปตามอัตราเร่งขยายตัวของเศรษฐกิจไทยตามนโยบายของภาครัฐ Tags : แรงขายทริกเกอร์ • ตลาดหุ้น