กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกโอเพนซอร์สในรอบเดือนที่ผ่านมา เมื่อโครงการดังๆ หลายตัวย้ายระบบจัดการซอร์สโค้ดของตัวเองมาใช้ GitLab โครงการสำคัญที่สุดคือ GNOME ที่ประกาศย้ายโครงการย่อยทั้งหมดกว่า 400 โครงการขึ้น GitLab เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา GNOME มีแผนจะย้ายระบบโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เลือกใช้ cgit จัดการซอร์สโค้ดและ Bugzilla จัดการบั๊ก แต่ระบบเริ่มเก่าและจัดการยาก แถมไม่เป็นมิตรกับนักพัฒนาหน้าใหม่ ทำให้ GNOME มองหาตัวเลือกอื่นมาแทน และสุดท้ายตัดเหลือ 2 ตัวเลือกคือ GitLab กับ Phabricator (รายละเอียด) เหตุผลสำคัญที่ GNOME เลือก GitLab คือมีระบบจัดการโครงการที่พร้อมทุกอย่างในตัว ตั้งแต่ระบบจัดการซอร์สโค้ด ระบบจัดการบั๊ก โฮสติ้ง แถมระบบจัดการซอร์สโค้ดของ GitLab ยังคล้ายกับ GitHub ที่นักพัฒนามักมีประสบการณ์ใช้งานมาก่อนแล้วด้วย (GitLab เป็นมากกว่า GitHub เพราะมีเครื่องมือด้าน CI/CD ด้วย) ฝั่งของ GitLab เองก็ปรับนโยบายให้เป็นมิตรกับชาวโอเพนซอร์สมากขึ้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้ GitLab บังคับให้นักพัฒนาโอเพนซอร์สต้องปฏิบัติการสัญญาอนุญาต Contributor License Agreement (CLA) ของตัวเอง ทำให้ขัดแย้งกับสัญญาอนุญาตที่นิยมใช้กันในโลกโอเพนซอร์สอยู่แล้ว ภายหลัง GitLab ยกเลิกข้อบังคับ CLA ทำให้เหมาะกับโครงการโอเพนซอร์สมากขึ้น หลังจาก GNOME ย้ายมาใช้ GitLab ทำให้โครงการโอเพนซอร์สดังๆ อีกหลายตัวตามมาใช้ GitLab ด้วย ได้แก่ FreeDesktop.org ผู้พัฒนา X.Org Server - Phoronix Mesa3D ไดรเวอร์จีพียูโอเพนซฮร์ส - Phoronix GIMP - GIMP Blog การย้ายมาใช้ GitLab ช่วยให้นักพัฒนาหน้าใหม่ๆ เข้าร่วมแก้ไขปรับปรุงซอร์สโค้ดได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถ fork โค้ดออกมาจาก repository แล้วขอ merge request กลับไปได้ทันที ส่วนการแจ้งบั๊กก็ใช้ระบบของ GitLab ที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีด้วย ที่มา - GitLab Topics: GitLabGNOMEOpen SourceGIMP