บจ.เล็กเสี่ยงสูง-เอ็มเอไอเตรียมโรดโชว์

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 22 พฤษภาคม 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ รับบริษัทกลาง-เล็กได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมาก เดินหน้าเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ พร้อมพาโรดโชว์ตปท.ปีหน้า

    นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่กดดันการดำเนินธุรกิจและกดดันภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้กำลังซื้อลดลง และกระทบกับผลการดำเนินงานบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในที่สุด

    ทั้งนี้เขากล่าวว่ายอมรับว่าบริษัทขนาดกลาง-เล็ก จะได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจค่อนข้างมาก เพราะขนาดธุรกิจไม่ใหญ่และยังใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงได้ไม่เต็มที่ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ มีแผนเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ด้วยการจัดการพบปะกันทุกๆ สิ้นเดือน เพื่อให้ผู้บริหารบริษัทได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

    นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ อยู่ระหว่างหากลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่มีความสนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เมื่อได้กลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ชัดเจนแล้ว ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ มีแผนจะนำบริษัทจดทะเบียนไปโรดโชว์เฉพาะกลุ่ม เพื่อดึงนักลงทุนสถาบันต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพิ่มขึ้นตามแผนระยะยาว และคาดจะเริ่มพาบริษัทจดทะเบียนไปโรดโชว์ต่างประเทศในปี 2558

    ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ มียอดขายรวม 28,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว 11.93 % ขณะที่กำไรสุทธิโดยรวมลดลง จากต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น

    นายประพันธ์เปิดเผยด้วยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จำนวน 95 บริษัท จากทั้งหมด 97 บริษัท (บริษัทที่ยังไม่ส่งงบการเงิน 1 บริษัท และ ที่ยังไม่ครบกำหนดส่งงบการเงินอีก 1 บริษัท) นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า 69 บริษัทจดทะเบียน หรือ 71% ยังคงมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน

    โดยในจำนวนข้างต้น มี 36 บริษัท มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อน ทั้งนี้ บริษัททั้งหมดมียอดขายรวมอยู่ที่ 28,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.93% ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 15.07% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง มาอยู่ที่ 20.32% ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 14.31% ทำให้กำไรสุทธิรวมของ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ลดลงเหลือ 1,437 ล้านบาท จาก 1,899 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า

    เขากล่าวด้วยว่าจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลต่อกำไรสุทธิรวมของบจ.ในตลาดเอ็มเอไอ ทุกภาคธุรกิจ ทั้งการเงิน การผลิต อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะธุรกิจบริการ ได้รับผลกระทบจากการชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน

    นอกจากนี้หากพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2558 พบว่า กลุ่มธุรกิจการเงิน มียอดขายลดลง ขณะที่อีก 7 กลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายในไตรมาส 2 นี้ สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนในการขายและค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิรวมลดลง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงรักษาการเติบโตของกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ไว้ได้ คือ กลุ่มทรัพยากรและ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

    จากการสำรวจผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ พบว่า 5 บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีกำไรสุทธิ 460 ล้านบาท บริษัท ชูไก (CRANE) 157 ล้านบาท บริษัท เอไอ เอนเนอร์จี (AIE) 85 ล้านบาท บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) 73 ล้านบาท และบริษัทยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง (UEC) 58 ล้านบาท ตามลำดับ

    บริษัทที่ยังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ไว้ได้ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทมีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ สามารถควบคุมบริหารต้นทุน และเป็นบริษัทที่เริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนไปช่วงที่ผ่านมา

    ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ทั้งสิ้น 97 บริษัท ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีเอ็มเอไอ ปิดที่ระดับ 417.38 จุด เพิ่มขึ้น 16.98% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 186,415 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 1,467 ล้านบาท

    Tags : ประพันธ์ เจริญประวัติ • บจ. • เอ็มเอไอ

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้