ปธ.สภาธุรกิจตลาดทุนมองตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น เหตุหุ้นใหญ่ยังไปไม่ไกล เตือนระวังตลาดจะผันผวนหนัก เพราะแรงเก็งกำไรสูง โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กและไอพีโอ แนะเกาะติดแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐสัปดาห์นี้ หากปรับขึ้นเร็วกว่าคาด หวั่นเงินทุนไหลออก ประเมินกระทบตลาดหุ้นไม่แรง นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ตลาดคือ ตลาดของหุ้นขนาดใหญ่ และตลาดหุ้นขนาดกลางและเล็ก ถ้าพิจารณาจากดัชนีเซท 50 เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันนิยมลงทุนกัน จะเห็นว่าราคาหุ้นไม่ได้หวือหวา และปรับตัวขึ้นไม่ได้มาก ส่วนใหญ่มีทิศทางราคาเป็นไปตามปัจจัยที่เกื้อหนุน และมีแนวโน้มที่จะยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง แต่ถ้าพิจารณาหุ้นขนาดกลางและเล็ก หรือหุ้นที่อยู่ในดัชนีเซท 100 และตลาดเอ็มเอไอ ก็จะต้องยอมรับว่า มีสภาพของการเก็งกำไรสูงและมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น หากเทียบกับการซื้อขายหุ้นในอดีต "ต้องยอมรับว่าการซื้อขายหุ้นขนาดเล็ก รวมถึงหุ้นไอพีโอ มีการเก็งกำไรสูง เนื่องจากสภาพตลาดทุนไทยคึกคัก แต่การที่ปรับตัวขึ้นได้แรงระดับ 100% ก็น่าจะเกิดจากแรงเก็งกำไรมากกว่าปัจจัยของมูลค่าพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ" นายไพบูลย์ ระบุ นายไพบูลย์ กล่าวว่าการที่มีเงินทุนไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ มองว่าเป็นเงินช่วงแรกที่ทยอยไหลกลับเข้ามา หลังจากที่ปัจจัยทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจน แต่จะเป็นเงินทุนระยะยาวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถเดินไปตามเป้าหมายและความคาดหวังของนักลงทุนต่างประเทศหรือไม่ ส่วนความกังวลของเงินทุนที่จะไหลออกไปนั้น ประเมินว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ ทั้งเรื่องการถอนมาตรการคิวอี หรือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เรื่องดังกล่าวมีการคาดการณ์ไว้แล้ว ดังนั้นเงินจะค่อยทยอยไหลออกไปมากกว่าที่จะไหลอย่างรวดเร็ว ยกเว้น กรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นสูง และเร็วกว่าที่ประเมินไว้ จะมีผลต่อการไหลของเงินทุนต่างชาติทันที แต่เชื่อว่าไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม กรณีของบรรดานักลงทุนรายย่อยที่นิยมลงทุนแบบเก็งกำไร ต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง และเลือกพิจารณาเป็นรายบริษัท ควรเน้นลงทุนหุ้นใหญ่พื้นฐานแข็งแรง ถ้ามีเงินทุนไหลออก ตลาดผันผวนแรงก็จะปลอดภัย ฝ่ายวิจัย บล.ทิสโก้ ระบุว่ายังคงมีมุมมองที่ควรระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.ย. - ต.ค. นี้ เนื่องจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวมาก จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นตลอดนับตั้งแต่ต้นปี ปัจจุบันในเดือน ก.ย. 2557 อยู่ที่ 66% เทียบเท่ากับจุดสูงสุดของดัชนีหุ้นครั้งเมื่อช่วงเดือน มี.ค.- พ.ค. 2556 และความไม่แน่นอนของทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ในปี 2558 กลยุทธ์การลงทุนหลักในช่วงที่เหลือ แนะขายลดพอร์ต ถือเงินสดเพิ่ม เพื่อลดความเสี่ยง หลังมองดัชนีหุ้นไทย1,600 จุด เริ่มอิ่มตัวในระยะสั้น รอทยอยสะสมช่วงราคา ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่าทิศทางกระแสเงินของนักลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ในตลาดหุ้นยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยถึงแม้นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นสุทธิออกมาบ้าง แต่ระดับการขายสุทธิถือว่าน้อยมาก นอกจากนั้นปริมาณการเข้าซื้อ (ขาเดียว) ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมีระดับมากกว่า 10,000 ล้านบาทติดต่อกัน แสดงว่ายังมีนักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มที่สนใจหุ้นไทยอยู่ นอกจากนั้นจากการศึกษาของฝ่ายวิจัยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ยังพบอีกว่าดัชนีหุ้นไทย มักไม่ได้รับผลกระทบจากการขายตราสารหนี้สุทธิของนักลงทุนต่างชาติในระดับ 8,000 ล้านบาทขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น หลังเข้าใกล้สู่การประชุม ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ย้ำมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้วว่าจะเข้ามาสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มากก็น้อย ส่วนปัจจัยอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อตลาดในช่วงนี้ ได้แก่ การยกระดับการคว่ำบาตรรัสเซียของประเทศฝั่งตะวันตกที่จะมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา การยกระดับการโจมตีของสหรัฐ ในซีเรีย และการลงประชามติเกี่ยวกับการแยกตัวเป็นอิสระของประเทศสกอตแลนด์ในสัปดาห์หน้า ในช่วงภาวะผันผวนเช่นนี้ ยังคงแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีความผันผวนแรง Tags : ไพบูลย์ นลินทรางกูร • สภาธุรกิจตลาดทุนไทย • ตลาดหุ้นผันผวน • โบรกเกอร์ • บล.ทิสโก้