แบงก์ชาติเผยทุนไทยแห่ตั้งกิจการในฮ่องกงหวังใช้เป็นฐานรุกตลาดจีนชี้3ปีครึ่งเม็ดเงินลงทุนกว่า1.19แสนล. นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยนิยมออกไปลงทุนโดยตรง (Thailand Direct Investment) ในฮ่องกงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังถือเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเทียบแบบรายประเทศ โดยในปี 2554 มีเม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 8,039 ล้านบาท ส่วนปี 2555 มียอดรวม 57,021 ล้านบาท ปี 2556 มีจำนวน 35,035 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 มีรวมจำนวน 19,569 ล้านบาท รวม 3 ปีครึ่ง นักลงทุนไทยออกไปลงทุนโดยตรงในฮ่องกงรวมกว่า 119,664 ล้านบาท “ถ้านับตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ฮ่องกงถือเป็นเป้าหมายหลักในอันดับ 2 สำหรับการส่งเงินออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของคนไทย รองจากหมู่เกาะเคย์แมน โดยที่ พม่า สิงคโปร์ และเมอริเชียส เป็นเป้าหมายรองลงไปตามลำดับ”นางจันทวรรณกล่าว สาเหตุที่คนไทยส่งเงินลงทุนโดยตรงไปยังฮ่องกงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยมักใช้ฮ่องกงเป็นฐานการลงทุนไปยังประเทศจีน เนื่องจากฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการระดมทุนของธุรกรรมส่วนใหญ่ที่ทำกับประเทศจีน ทั้งในส่วนของธุรกรรมที่ทำเป็นสกุลดอลลาร์ และสกุลเงินหยวน เนื่องจากจีนแผ่นดินใหญ่(mainland) ยังมีข้อจำกัดในการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ขณะที่บริษัทในจีนเองก็มักตั้งบริษัทในฮ่องกง เพื่อระดมทุนและทำธุรกรรมทางการเงินเช่นเดียวกัน ทั้งนี้สำหรับที่ออกไปลงทุนในฮ่องกงมากที่สุด ได้แก่ ค้าปลีก ค้าส่ง กิจกรรมทางการเงิน (โฮลดิ้ง คอมพานี) ธุรกิจอาหาร และก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการออกไปลงทุนในประเทศจีนโดยใช้ฮ่องกงเป็นฐานการลงทุนไปยังประเทศจีนต่อไป นอกจากการออกไปลงทุนโดยตรงในฮ่องกงแล้ว นักลงทุนไทยนิยมไปลงทุนในหลักทรัพย์ในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นผลจากผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวมที่อยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศ ปัจจุบันมียอดคงค้างการลงทุนในหลักทรัพย์ อยู่ที่ประมาณ 377,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ค.2557 โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของยอดคงค้างการลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศทั้งระบบในปัจจุบัน “หลักทรัพย์ที่เอฟไอเอฟ(กองทุนรวมเพื่อไปลงทุนต่างประเทศ) ของไทยไปลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินฝากหรือตราสารหนี้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในจีนที่ออกขายในฮ่องกง” นางจันทวรรณกล่าว นางจันทวรรณ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนรวมของการลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝากในฮ่องกงปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ 1.การคาดการณ์ทิศทางการแข็งค่าของเงินหยวน 2.อัตราดอกเบี้ยของเงินฝากหรือตราสารหนี้ที่กองทุนเอฟไอเอฟไปลงทุนอยู่ในระดับที่ดี จากการที่สาขาธนาคารพาณิชย์จีนในฮ่องกง รวมถึงธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในจีน มีความต้องการสภาพคล่องเงินสกุลหยวนในฮ่องกงสูงระดับหนึ่ง สำหรับแนวโน้มการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศนั้น นางจันทวรรณ เชื่อว่า ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี จากการที่ธุรกิจต่างๆ สนใจไปลงทุนในต่างประเทศต่อเนื่อง เพื่อขยายตลาดและช่องทางการจำหน่ายสินค้า ขยายฐานการผลิต รวมถึงการแสวงหาทรัพยากรและแรงงาน รวมทั้งเพื่อกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้ การที่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) มีการเปิดประเทศมากขึ้น และเศรษฐกิจมีการขยายตัวในอัตราที่สูง ประกอบกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ล้วนเป็นโอกาสที่เอื้อให้ธุรกิจไทยสามารถออกไปลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศอาจถูกกระทบโดยปัจจัยแวดล้อมในแต่ละช่วง เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาสินทรัพย์ สภาพคล่องและความสามารถในการระดมทุนของธุรกิจ รวมทั้งจังหวะและโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ที่จะมีผลให้มูลค่าของการลงทุนโดยตรงของประเทศมีการขยายตัวได้ค่อนข้างมากนั้น ต้องอาศัยจังหวะและความพร้อมในหลายๆ ด้านประกอบกัน ทำให้แนวโน้มของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศอาจมีความผันผวนบ้างในระยะสั้น แต่ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในระยะยาว นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่เอกชนไทยนิยมไปลงทุนในฮ่องกงมากขึ้นเพราะ ฮ่องกงมีข้อจำกัดการลงทุนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค และยังสะดวกต่อการเข้าไปลงทุนในประเทศจีนด้วย “การเข้าไปลงทุนในจีน ค่อนข้างง่าย ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องไปเปิดสำนักงานในจีนหรือฮ่องกงก็ได้ แต่อาจใช้วิธีการเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตร และกฎระเบียบด้านการลงทุนก็ไม่ได้มากด้วย” นายกวินกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัท มีความสนใจเข้าร่วมประมูลการบริหารการเดินรถไฟฟ้าในประเทศจีน ร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ในจีน ซึ่งบริษัทต้องการกระจายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้นตั้งแต่ช่วงที่มีเหตุการณ์เมืองรุนแรง โดยคาดว่าการประมูลนั้นน่าจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายปีนี้ Tags : ธปท. • ฮ่องกง • จีน • ลงทุน