เอสแอนด์พีเผยอยากเห็นไทยมีรัฐบาลชุดใหม่มาจากการเลือกตั้ง กำหนดนโยบายเศรษฐกิจให้เติบโตได้ดีในระยะยาว นายคิม เอง ตัน ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายเรทติ้งประเทศ จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี กล่าวว่าในงานสัมมนาเรื่อง ”แนวโน้มเรทติ้งประเทศของไทย"ของบริษัททริส เรทติ้ง เกี่ยวกับแนวโน้มภาคธนาคารไทยและไฮบริดแคปิตอลภายใต้กฎบาเซิล วานนี้ (11 ก.ย.) ว่า เอสแอนด์พี ยังไม่ได้กำหนดเวลาในการปรับขึ้นเรทติ้งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ BBB+ หลังจากที่การเมืองไทยสงบลงและได้รัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาทำหน้าที่ ทั้งนี้เอสแอนด์พี คาดหวังให้รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่นั่งทำงานนานจนเกินไป สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถช่วยให้เกิดรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งและอยู่หรือนั่งทำงานได้นานขึ้นแบบถาวร “ไทยจำเป็นต้องได้รัฐบาลอยู่ในหน้าที่นั่งทำงานได้ยาวนานขึ้น ซึ่งกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ต้อง 1-2 ปีขึ้นไป รัฐบาลชุดต่อไปที่เข้ามาแทนที่ ต้องพยายามกำหนดนโยบายบางอย่างให้เอสแอนด์พีเห็นว่าจะช่วยเศรษฐกิจดีขึ้น และมีผลประกอบการดีในระยะยาว” เขากล่าวว่า เป็นเรื่องยากมากสำหรับรัฐบาลตอนนี้ ที่จะทำให้ทุกอย่างลงตัว เพราะการนำเสนอนโยบายต่างๆกว่าจะทำให้เกิดผลสำเร็จในทางปฏิบัติได้ต้องใช้เวลานาน ดังนั้นในช่วงเวลาก่อนได้รัฐบาลชุดใหม่ รัฐบาลชุดปัจจุบันอาจไม่สามารถทำอะไรได้ จึงอยากเห็นรัฐบาลใหม่ที่สามารถนั่งบริหารทำงานได้นานแบบถาวร เมื่อถามถึงปัจจัยเอื้อให้เอสแอนด์พีปรับเพิ่มเรทติ้งประเทศให้ไทยนั้น เขาระบุว่าสิ่งสำคัญแรกอยู่ที่การเมืองมีเสถียรภาพ จะช่วยเปิดทางให้รัฐบาลสามารถเพ่งเล็งไปที่นโยบายต่างๆ ต้องดำเนินการได้มากขึ้น รัฐบาลต้องบริหารงบดุลการคลังและบริหารระดับหนี้ให้ดีขึ้น จะช่วยให้เอสแอนด์พีมีแนวโน้มจะสนับสนุนให้เรทติ้งไทยดีขึ้นได้ ดีมานด์ภายในเอื้อศก.ไทยโต นายตันกล่าวว่ามองเศรษฐกิจไทยเป็นบวกมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หากเทียบครึ่งปีแรก ตอนนี้แม้มีความเสี่ยงเรื่องภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลก แต่เศรษฐกิจสหรัฐยังไปได้ค่อนข้างดีเอื้อให้ความต้องการการส่งออกในเอเชียรวมไทยดีขึ้น อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ การส่งออกของไทยไม่น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะแม้เศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวได้ดี แต่ในยุโรปการฟื้นตัวยังอ่อนแอ มีความเสี่ยงเกิดภาวะเงินฝืดบวกเงินเฟ้อ (deflation) ดังนั้นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะได้แรงขับเคลื่อนภายในประเทศเองมากกว่า “เราเริ่มเห็นอุปสงค์ในไทยดีขึ้น หลังความวุ่นวายทางการเมืองหมดไป คาดว่าความเชื่อมั่นค่อยๆกลับคืนมา ดังนั้นเรายังคงเห็นอุปสงค์ในประเทศเกื้อหนุนเศรษฐกิจขยายตัว อีก 1-2 สัปดาห์เราจะทบทวนจีดีพีของไทย หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นช่วง 2-3เดือนที่ผ่านมา” นายตันกล่าว ชี้เอสแอนด์พีกับมูดี้ส์มองตรงกัน ส่วนนายสันติ กีระนันท์ กรรมการผู้จัดการทริส เรทติ้ง ให้ความเห็นในงานนี้ว่า เอสแอนด์พีและมูดี้ส์ เป็นสถาบันจัดอันดับระดับโลกที่คิดคล้ายกัน มองไม่ต่างกันคือขอให้การเมืองมีเสถียรภาพ ถ้าการเมืองมีเสถียรภาพ ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็จะกลับมา และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของไทยในทางบวกด้วย โดยมูดี้ส์ก่อนหน้านี้ก่อนการเมืองเปลี่ยนแปลงก็โจมตีไทยหนัก แต่เดือนส.ค.นี้ ออกรายงานใหม่มา ค่อยปรับความเห็นเลี่ยงไปพูดเรื่องการปฏิรูปว่าถ้าปฎิรูปได้ผลช่วยให้ไทยกลับมาดีได้ แต่ถ้าปฏิรูปช้าเกินไปหรือปฏิรูปไม่ได้ผล ไทยก็จะเสียความสามารถแข่งขัน ขณะนี้เชื่อว่าธุรกิจไทยผ่านพ้นจุดต่ำแล้ว เพียงแต่การผ่านพ้นไปแล้วจากนี้จะดีขึ้นแค่ไหน อาจต้องจับตามอง และต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จากนั้นเริ่มเดินเครื่องดำเนินการเต็มที่ และต้องดูการตอบรับจากภาคธุรกิจกับนโยบายที่ออกมา ว่าการดำเนินการเป็นไปตามที่คาดหวังให้ทุกอย่างเหมือนเดิมดีขึ้นอีกครั้ง “4 เดือนที่เหลือ และ 8 เดือนที่ผ่านมาปีนี้ เสียไปตั้งแต่ไตรมาส 1 ไตรมาส 2 ดีบ้างเสียบ้าง ไตรมาส 3 คงดีขึ้นแล้ว ต้องรอดูตัวเลขไตรมาส 3กับ 4 เพราะเข้าสู่ดูการท่องเที่ยวด้วย ไตรมาส4ถ้าคาดผิดควรมีการใช้จ่ายภาครัฐเข้ามากระตุ้นได้เต็มที่ น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโตได้ แต่การท่องเที่ยวเป็นภาระหนักของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่นดึงนักท่องเที่ยวให้กลับมา ไฮซีซันมีแต่ต้นปีและปลายปี” นายสันติกล่าว ห่วงการเมือง-หนี้ครัวเรือนกระทบแบงก์ ด้านนางกีตา ชูกห์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเรทติ้งสถาบันการเงินในเอเชีย-แปซิฟิกของเอสแอนด์พี กล่าวเรื่องแนวโน้มภาคแบงก์ไทยปี 2557 การเมืองวุ่นอาจกระทบผลประกอบการธนาคารไทยว่า ความเสี่ยงที่มีต่อคุณภาพสินทรัพย์ของภาคธนาคารไทยมากสุดตอนนี้อยู่ที่หนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งติดกลุ่มสูงสุดในภูมิภาคเช่นเดียวกับมาเลเซีย แต่หากมองความเสี่ยงและปัญหาท้ายต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยรวมขณะนี้ เธอกล่าวว่ามีอยู่ 3 เรื่อง คือ สถานการณ์การเมืองวุ่นวาย ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูง ซึ่งทั้ง3เรื่องนี้เธอคาดว่าสินเชื่อไม่ก่อเกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอลกับการผิดนัดคืนหนี้ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า โดยเอสแอนด์พีคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวลงโตประมาณ 1%ปีนี้ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองการประท้วงอาจเกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกภาคธุรกิจ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทำให้การปฏิรูปโครงสร้างกับการใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐถอยหลัง และทำให้การลงทุนภาครัฐกับเอกชนล่าช้า ความต้องการบริโภคชะลอไปด้วย นอกจากนี้หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นจาก 55% ในปี2 550 เป็น 77% ในปี 2556 ถือว่าเพิ่มขึ้นมากสำหรับประเทศมีรายได้ต่ำอย่างไทย หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการขยายตัวเร็วของสินเชื่อ อาจทำให้ความเสี่ยงจากการผิดนัดคืนหนี้ของลูกค้ามีมากขึ้นด้วย คาดสินเชื่อภาคแบงก์โต 10% ปีนี้ ทั้งนี้ นางชูกห์คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์จะชะลอตัวลงอยู่ที่ระดับ 8-10% ในปีนี้ ซึ่งมองในทางกลับกันน่าจะช่วยปรับสมดุลให้เศรษฐกิจและภาคธนาคารไทยเพราะตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาสินเชื่อขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจไม่สมดุล ขณะเดียวกันเธอไม่คาดคิดว่า ในภาคธนาคารไทยจะเผชิญปัญหาคุณภาพสินทรัพย์กับกำไรของธนาคารจะเสื่อมถอยอย่างมากในปีนี้ ฐานเงินทุนและการหาแหล่งเงินทุนของภาคธนาคารไทยในช่วงปีนี้ ยังคงมีเสถียรภาพ ทำให้เอสแอนด์พียังคงแนวโน้มภาคธนาคารไทยมีเสถียรภาพ Tags : เอสแอนด์พี • เลือกตั้ง • รัฐบาล