ตลาดหลักทรัพย์ หารือโบรกเกอร์ เตรียมนำมาตรการหยุดการซื้อขายทันทีในระยะเวลาหนึ่ง หวังคุมการซื้อขายหุ้น ที่มีความถี่สูงและราคาร้อนแรงผิดปกติ หวังเพื่อเตือนสติรายย่อยให้หยุดคิด สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอครั้งแรก ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับซิลลิ่งนั้น เกิดจากความคาดหวังของนักลงทุนต่อบริษัท ถึงผลประกอบการในอนาคต ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต รวมถึงภาวะตลาดหุ้นเอ็มเอไอที่ร้อนแรง ทำให้การปรับขึ้นของราคาหุ้นร้อนแรงมากกว่าปกติ นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หุ้นไอพีโอที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เกิดจากความคาดหวังของนักลงทุนในแง่ของผลประกอบการ โดยจากข้อสังเกต การส่งคำสั่งซื้อมากกว่าปกติ และไม่มีการส่งคำสั่งขายเลยนั้น "มองว่าเกิดจากปัจจัยพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งนักลงทุนอาจมองว่าราคาหุ้นปรับขึ้น อยู่ในระดับซิลลิ่ง และไม่สามารถปรับขึ้นต่อไปได้ นักลงทุนจึงไม่อยากขายหุ้น เพราะคาดหวังว่า ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อนเนื่องในวันถัดไป ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า" ส่วนในภาวการณ์ตลาดหุ้นที่ร้อนแรง นางเกศรา กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ยังมีเครื่องมือที่จะป้องกันความเสียหายกับนักลงทุน ทั้งการแจ้งเตือนของราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวผิดปกติ หรือการบังคับให้นักลงทุนซื้อขายด้วยเงินสด (แคชบาล๊านซ์) มาตรการดังกล่าวยังมีความเหมาะสมอยู่ "ตลาดหลักทรัพย์ จะมีการนำมาตรการควบคุมการซื้อขายที่มีความถี่สูง (DYNAMIC PRICE BAND) มาใช้หรือไม่นั้น ปัจจุบันความคืบหน้าเครื่องมือดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ" ยกเว้นหุ้นราคาต่ำกว่า 20 สตางค์ อย่างไรก็ตาม มาตรการควบคุมการซื้อขายที่มีความถี่สูง เป็นโปรแกรมเข้ามาควบคุมการซื้อขายหลักทรัพย์ในทุกประเภท ยกเว้นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 20 สตางค์ โปรแกรมนี้จะเข้ามาควบคุม หรือหยุดการขายทันทีในระยะเวลาหนึ่ง ในหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวของราคาเร็วกว่าปกติ เพื่อไม่ให้ดัชนีปรับตัวขึ้นลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ และเพื่อเตือนสติให้นักลงทุนหยุดคิดว่าจะซื้อขายต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ โปรแกรมดังกล่าว ถูกพัฒนาตั้งแต่สมัยที่ นายจรัมพร โชติกเสถียร ยังดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตามขณะนี้เรื่องดังกล่าว อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทสมาชิกว่า จะกำหนดวิธีการใช้ และความเหมาะสม ในการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ นายกฯบจ.ยันหุ้นพุ่งไม่ใช่ฟองสบู่ ด้านนายสุเมธ เลอสุมิตรกุล นายกสมาคม สมาคมบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หรือ เอ็มเอไอเอ เปิดเผยว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นเอ็มไอเอ เกิดจากความคาดหวังของนักลงทุนต่อการฟื้นตัว ของผลประกอบการบริษัท ที่เติบโตได้ดีกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งมองว่า ภาวการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่ "เรามองว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีและราคาหุ้นในรอบนี้ ไม่ใช่ฟองสบู่ เพราะเราต้องมองว่า ตลาดหุ้นเอ็มเอไอเป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง มีการเติบโตในระดับที่ดี นักลงทุนจึงคาดหวัง และเข้ามาซื้อต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้หุ้นที่จะเข้าทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" หากมองในแง่ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้นเอ็มไอเอในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่า ให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง โดยบริษัทที่มีการเติบโตตามค่าเฉลี่ยของตลาด จะให้ผลตอบแทนที่ระดับ 10% ต่อปี สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรณีที่หลายคนมองว่า ราคาปิดกำไรต่อหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่นั่นเป็นผลการดำเนินงานในอดีตที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ซึ่งช่วงดังกล่าวเกิดภาวการณ์เมืองที่ไม่ปกติ กระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน ปัจจุบันปัญหาการเมืองจบไปแล้ว ดังนั้นผลประกอบการในไตรมาส 3 จะฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น จะสะท้อนกับพื้นฐานของตลาดหุ้นเอ็มเอไอได้ ประกอบกับ นักลงทุนรายบุคคล มีภูมิคุ้มกันมากขึ้น พวกเขาทำการบ้านในหุ้นแต่ละบริษัท มาร่วมงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน ทำให้พวกเขารู้จักแต่ละบริษัทเป็นอย่างดี จึงไม่น่ากังวลถึงผลกระทบต่อนักลงทุน ซีซีเอ็น-เทคเทรดวันแรกพุ่ง199% ขณะที่วานนี้ (11 ก.ย.) หุ้นบริษัท ซีซีเอ็น-เทค จำกัด (มหาชน) หรือ CCN ที่เข้าทำการซื้อขายวันแรก พบว่า ราคาปรับตัวขึ้นไปอย่างร้อนแรง โดยเปิดการซื้อขายที่ 3.74 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาจองซื้อที่ 1.25 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 199.20% เป็นระดับราคาซิลลิ่ง โดยมีคำสั่งซื้อหุ้นหนาแน่น สวนทางกับคำสั่งขายที่ไม่มีรายการค้างอยู่แม้รายการเดียว โดยปิดการซื้อขายที่ 3.74 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาจองซื้อ 2.49 บาท หรือเพิ่มขึ้น 199.20% นายวิรัตน์ อนุรักษ์พุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีซีเอ็น-เทค จำกัด (มหาชน) หรือ CCN เปิดเผยถึงราคาหุ้นเข้าซื้อขายสูงเกินความคาดหมายของบริษัทว่า เกิดจากความเชื่อมั่นนักลงทุน ที่มั่นใจว่าธุรกิจบริษัท มีแนวโน้มการเติบโตดีในอนาคต และราคาเสนอขายหุ้นของบริษัทไม่สูง ซึ่งมีส่วนต่างให้นักลงทุนได้สามารถทำกำไรได้ โดยบริษัทจะมีการพยายามทำให้รายได้มีการเติบโตต่อเนื่องเพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี สำหรับเงิน ไอพีโอ ที่ได้ครั้งนี้บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรับงานขนาดใหญ่มากขึ้น โดยบริษัทจะเน้นรับงานจากภาครัฐมากขึ้นจากปัจจุบันที่รับงานเอกชน "บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตปีละ 20% โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ 240-250 ล้านบาท จากปี 2556 ที่มีรายได้ 219 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือประมาณ 30-40 ล้านบาท" Tags : เกศรา มัญชุศรี • ตลาดหลักทรัพย์ • หุ้นร้อน • ซื้อขาย