ตลท.เผยบัญชีซื้อขายหุ้นรายย่อยทะลุล้านบัญชีครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อานิสงส์ตลาดหุ้นขาขึ้นแรงเก็งกำไรคึกคัก นางสาว ปิยาภรณ์ ครองจันทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าจำนวนบัญชีการซื้อขายของนักลงทุนรายบุคคล ในเดือนก.ค. มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,003,046 บัญชี แตะระดับ 1 ล้านบัญชีครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30% "จำนวนบัญชีที่เพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและภาวการณ์เมืองคลี่คลาย จึงดึงดูดให้นักลงทุนให้ความสนใจและเปิดบัญชีมากขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จำนวนบัญชีแตะระดับ 1 ล้านบัญชี นอกจากนี้บัญชีที่มีการซื้อขายเป็นประจำยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 31.9 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 27% โดยจากข้อมูลนั้นพบว่า นักลงทุนมีการทำธุรกรรมการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต 217,921 บัญชี เพิ่มขึ้น 41 % มูลค่าการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตคิดเป็น 37.1% ของมูลค่าการซื้อขายรวม หรือคิดเป็น 57.7% ของมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนภายในประเทศ" ทั้งนี้ ภาวะการซื้อขายในเดือน สิงหาคม พบว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,561.63 จุด เพิ่มขึ้น 20.24%จากสิ้นปี 2556 ปรับขึ้นเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาค รองจากอินเดีย และเวียดนาม แต่หากเปรียบเทียบการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจะพบว่าไทยอยู่อันดับที่ 2 ของภูมิภาคที่ 3.94% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเวียดนามที่ 6.81% เท่านั้น ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 14.03 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.95% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยหลังจากคณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้าควบคุมสถานการณ์เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ทำให้มีความคึกคักในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้มีราคาปิดกำไรต่อหุ้นคาดการล่วงหน้า (ฟอร์เวิร์ดพี/อี) 15.79 เท่า โดยมีอัตราตอบแทนเงินปันผล 2.98% สำหรับความคึกคักดังกล่าว ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 50,973 ล้านบาท โดยมาจากนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก โดยในเดือนส.ค.นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,652 ล้านบาท และมีการซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยภายหลังจากการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสนั้น พบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสะสม 9 วันทำการ 9 พันล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย จากการให้ข้อมูลของภาครัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการเงินอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่เมื่อดูการซื้อขายจากต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคม พบว่านักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้ขายสุทธิที่ 24,629 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายบุคคลขายสุทธิ 22,142 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 36,268 ล้านบาท และพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 10,503 ล้านบาทเมื่อพิจารณาสัดส่วนการซื้อขายพบว่า นักลงทุนรายย่อยยังเป็นผู้เล่นหลักที่ 66.77% รองลงมานักลงทุนต่างประเทศ 16.23% นักลงทุนสถาบัน 8.73% และพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ 8.26 % โดยหุ้นที่ได้รับความนิยมคือกลุ่ม นอนเซ็ท 100 มีสัดส่วนการซื้อขาย 34% เซ็ท 11-30 มีสัดส่วนต่อการซื้อขายคิดเป็น 20% และ เซ็ท 10 มีสัดส่วนต่อการซื้อขายคิดเป็น 19% โดยกลุ่มประเภทอุตสาหกรรมที่มีการซื้อขายสูงสุดคือ กลุ่ม ขนส่งและอาหาร อย่างไรก็ตามสำหรับมูลค่าการระดมทุนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอพบว่ามีมูลค่ารวม 4,165 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 43.16% เป็นการเข้าระดมทุนในตลาดแรก 1,840 ล้านบาท และระดมทุนในตลาดรอง 2,325 ล้านบาท ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาพบว่ามูลค่าการระดมทุนอยู่ที่ 93,388 ล้านบาท ลดลง 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากปีก่อนที่ตลาดหุ้นมีการทำจุดสูงสุดใหม่กว่า 1,600 จุด ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนต่อเนื่อง ส่งผลให้มีฐานในการเปรียบเทียบที่สูง อีกทั้งปีนี้ในครึ่งปีแรกมีปัญหาการเมืองเข้ามากระทบ ทำให้ครึ่งปีแรกการระดมทุนจึงออกมาน้อยมาก ซึ่งแนวโน้มในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าการระดมทุนมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งในตลาดแรกและในตลาดรอง ตามภาวการณ์ที่คลายตัวของปัญหาการเมือง ส่วนความเคลื่อนไหวของกองทุนรวมตราสารทุนในประเทศไทย (ไม่รวมกองทุนรวมวายุภักษ์) มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้น 15.1% จากสิ้นปีก่อน ในขณะที่กองทุนรวมตราสารทุนที่ลงทุนในต่างประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 113.5% โดยกองทุนรวมหุ้นระยะยาวนั้นมีมูลค่ารวม 242,992 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 13.6% ในขณะที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ มีมูลค่า 58,499 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 22.4% Tags : ตลาดหลักทรัพย์ • บัญชีรายย่อย • ตลาดหุ้น • ปิยาภรณ์ ครองจันทร์