ไทคอน ตั้ง ทีแมน บริหาร "ทีรีท" มูลค่า 4-5 พันล้านบาท ลุยลงทุนคลังสินค้าและโรงงานกลุ่มไทคอน นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) TICON เปิดเผยว่า บริษัทให้บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ (TMAN) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มไทคอน ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผู้จัดการบริหารกองทรัสต์ (REIT Manager) เพื่อรองรับแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โดยบริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทคอน (TREIT) มูลค่า 4,000 - 5,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในคลังสินค้าและโรงงานของกลุ่มไทคอน ซึ่งรายได้จากการจัดตั้งกองทุนครั้งนี้น่าจะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 6,600 ล้านบาท ได้ โดยกองทุน TREIT นี้ จะมีการกู้เงินประมาณ 20% บริษัทถือหน่วยอีก 20% ที่เหลือจัดสรรให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งได้ภายในพ.ย.2557 นี้ ปัจจุบันในอุตสาหกรรมคลังสินค้าบริษัทถือเป็นผู้นำในตลาดโดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 50% “การที่กอง TREIT สามารถกู้ยืมเงินได้จะช่วยให้แผนการขยายกองทุนเพื่อลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพิ่มเติมทำได้ง่ายขึ้น หากใช้รูปแบบกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (กอง1) อาจจะต้องขอมติผู้ถือหน่วยในการเพิ่มทุนซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 6 - 7 เดือน ซึ่งในระหว่างนี้ก็ไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาได้ว่าจะเพิ่มทุนได้หรือไม่ แต่ในรูปแบบของ REIT เองนั้น ก็จะไปกู้เพื่อเข้าลงทุนได้เลยซึ่งจะเร็วสั้นลงอาจจะประมาณ 2 เดือน ก็เข้าลงทุนได้ แล้วค่อยมาเพิ่มทุนเพื่อใช้คืนเงินกู้ทีหลังได้ ซึ่งในเบื้องต้นกอง TREIT จะมีการใช้การกู้ยืมประมาณ 20%” นายอมร จุฬาลักษณานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเมนท์ (TMAN) กล่าวว่า กอง TREIT นี้ จะลงทุนในพื้นที่กว่า 200,000 ตร.ม. โดยส่วนใหญ่เป็นคลังสินค้าประมาณ 160,000 ตร.ม. ที่เหลือเป็นโรงงาน โดยจะมีโครงสร้างของกองทุนเป็นการลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Free Hold) ประมาณ 65% และที่เหลืออีก 35% เป็นการลงทุนในสิทธิการเช่า (Lease Hold) ซึ่งกองทุนประเภทนี้ที่ลงทุนในกรรมสิทธิ์จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.5% ส่วนกองทุนที่ลงทุนในสิทธิการเช่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9% ดังนั้นผลตอบแทนที่กองทุนจะให้ก็น่าจะใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันทรัพย์สินทั้งหมดมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 95 - 98% ในอนาคตบริษัทเองมีแผนเพิ่มขนาดกอง TREIT ให้เป็น 20,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 - 5 ปี ข้างหน้า เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนด้วย “บริษัทยังมองถึงโอกาสลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติมด้วยหลังเปิดเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว โดยทรัพย์สินที่มองไปยังคงเป็นกลุ่มคลังสินค้าและโรงงานที่กลุ่มไทคอนมีความถนัดทั้งในพม่า อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย แต่คงต้องดูเกณฑ์การถือครองสินทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน" Tags : วีรพันธ์ พูลเกษ • ไทคอน • กองทุน