การแบ่งกลุ่ม เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำให้การทำตลาดตรงกลุ่มมากขึ้น และยังทำให้เบนซ์ สามารถครองผู้นำตลาดได้ต่อไป รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถที่ผู้บริโภคชาวไทยรู้จักดี และชื่นชอบเป็นอย่างมาก อีกทั้งสามารถครองความยิ่งใหญ่มาได้หลายสิบปี ตั้งแต่ยุคของผู้แทนจำหน่ายเดิม คือ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ที่ปลุกปั้นให้รถยี่ห้อนี้เป็นมากกว่ารถยนต์ แต่เป็นเหมือนตัวแทนของความสำเร็จ และการบ่งบอกฐานะทางสังคม ความสำเร็จที่สั่งสมมานาน ยังส่งผลดีมาถึงยุคปัจจุบันที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จากเยอรมนี เข้ามาทำตลาดเอง ก็ยังคงรักษาความยิ่งใหญ่เอาไว้ได้ แต่ว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เริ่มถูกท้าทายจากคู่แข่งที่ไล่เข้ามาใกล้ ช่องว่างไม่ห่างเหมือนในอดีตอีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เมอร์เดส-เบนซ์ ต้องปรับตัวไม่น้อย ทั้งการตลาดหรือว่าตัวสินค้า ในอดีตเมอร์เซเดส-เบนซ์ สร้างความเป็นผู้นำตลาดรถหรูด้วยรถไม่กี่รุ่นหลักๆ แต่ปัจจุบันหากนับรวมรุ่นย่อยทั้งหมดมีกว่า 30 รุ่นเลยทีเดียว ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็เปิดตัวรถเพิ่มอีก 4 รุ่นย่อย คือ ซีแอลเอส คูเป้, ซีแอลเอส คูเป้ เอเอ็มจี, ซีแอลเอส ชูทติ้งเบรค และ ซีแอลเอส ชูทติ้งเบรค เอเอ็มจี ผู้บริหารเมอร์เซเดส-เบนซ์ บอกว่านี่เป็นการที่ค่ายรถตราดาวสามแฉกมีรถตอบสนองลูกค้ามากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งก็เชื่อว่าจะให้ผลทางบวก เนื่องจากลูกค้ามีทางเลือกที่มากขึ้น รถที่ทำตลาดทั้งหมด ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.คอนเทมโพลารี ลักชัวรี (contemporary luxury) ซึ่งก็ได้แก่รุ่นหลักที่คุ้นเคยกันมาแต่ไหนแต่ไร เช่น เอส-คลาส, อี-คลาส, ซี-คลาส รวมไปถึง เอสยูวี อย่างเอ็มแอล-คลาส หรือว่า จีแอล-คลาส 2.ดรีม คาร์ (dream car) กลุ่มนี้ประกอบไปด้วยรถกลุ่มพิเศษ เช่น เอสแอลเค,ซี-คูเป้, อี-คูเป้ รวมถึงรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด ซีแอลเอส 3.นิว เจนเนอเรชั่น คอมแพค คาร์ (new generation compact car) ได้แก่รถที่สร้างขึ้นจากเอ-แพลตฟอร์มทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมี เอ-คลาส,ซีแอลเอ และจีแอลเอ และในอนาคตน่าจะมีเข้ามาเพิ่มเติม เพราะบริษัทแม่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะผลิตรถจากพื้นฐาน เอ-แพลตฟอร์ม รวม 5 แบบด้วยกัน จะเห็นได้ว่ารถในกลุ่มที่ 1 เปรียบเสมือนเสาหลักของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่ก็มีความเสี่ยงคือ ลูกค้ากลุ่มนี้มีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องสร้างตลาดใหม่ๆขึ้นมา โดยกลุ่ม 3 เป็นการบุกเบิกตลาดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากเปิดตลาดไม่กี่ปี พบว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดย มาร์ติน ชูลซ์ รองประธานบริหาร ฝ่ายขายและการตลาดบอกว่าปัจจุบัน มันครองสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด และก็เชื่อว่าจะขยายตัวได้มากกว่านี้ ช่วงนี้จึงเห็นการให้ความสำคัญในกิจกรรมการตลาดรถกลุ่มนี้ที่มีความแตกต่างออกไป โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านโลกออนไลน์ ขณะที่กลุ่ม 2 หรือดรีมคาร์ ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บอกว่า เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ เพราะมีการเติบโตแบบมีนัย เนื่องจากเป็นรถที่สามารถตอบสนองที่แตกต่างได้ และปัจจุบัน มันมีสัดส่วนการขาย 20% ของยอดทั้งหมด แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เชื่อว่า เร็วๆนี้สัดส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังจากการเปิดตัว ซีแอลเอส ใหม่ทั้ง 4 รุ่นย่อย เนื่องจากรถผ่านการพัฒนา และปรับปรุงรายละเอียดให้ตรงกับที่ลูกค้าต้องการ โดยเชื่อว่า สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% อย่างแน่นอน การแบ่งกลุ่มชัดเจน ช่วยให้การทำตลาด ทำได้อย่างตรงกลุ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันในภาพรวม การมีรุ่นย่อยที่มากมาย ก็หมายถึงต้นทุนการสต็อกรถ สต็อกอะไหล่ที่เพิ่มขึ้น แต่มันก็น่าจะคุ้มค่า ถ้าหากช่วยให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดได้ต่อไป Tags : เมอร์เซเดส • เบนซ์ • เยอรมนี