Uber นำเสนอผลสำรวจ เผยคนกรุงเทพเสียเวลากับรถติดและหาที่จอดเฉลี่ย 24 วันต่อปี

หัวข้อกระทู้ ใน 'เทคโนโลยี' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 8 พฤศจิกายน 2017.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    Uber ได้จัดการนำข้อมูลต่าง ๆ ไปทำผลสำรวจเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้รถยนต์และการจราจรติดขัดในหลายเมืองในภูมิภาคอาเซียน และได้เผยข้อมูลจากการสำรวจว่าในแต่ละวัน คนกรุงเทพจะต้องเสียเวลาโดยเฉลี่ยไป 72 นาที หรือคิดเป็น 24 วันต่อปี กับสภาพรถติดและการหาที่จอดรถยนต์

    ข้อมูลที่ Uber นำเสนอคือทุกวันนี้ปัญหารถติดในภูมิภาคอาเซียนนั้นเลวร้ายลงทุกที กรุงเทพถือเป็นเมืองที่ปัญหาการจราจรติดขัดสูงที่สุด ตามด้วยจาการ์ตา มะนิลา ฮานอย และกัวลาลัมเปอร์ โดยสถิติที่น่าสนใจมีดังนี้

    • กรุงเทพมีรถมากกว่า 5.8 ล้านคัน หากต้องจอดรถทั้งหมดจะต้องใช้พื้นที่ทั้งหมด 8 สนามบินสุวรรณภูมิ
    • คนกรุงเทพใช้เวลา 24 วันต่อปีไปในสภาพรถติดและการหาที่จอดรถยนต์
    • ในชั่วโมงเร่งด่วนของกรุงเทพ บนถนนมีรถ 160% ของที่ถนนควรจะมี (หรือที่ถนนรับได้) จึงทำให้รถติด 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ
    • ทุกวันนี้ คนกรุงเทพเฉลี่ยแล้วมีรถยนต์ 2.1 คนต่อรถ 1 คัน (ในขณะที่รถยนต์นั่งได้มากกว่านั้น แปลว่ายังเหลือที่นั่งอยู่อีกเยอะ)
    • ก๊าซคาร์บอนไดออกไซน์ที่ถูกปล่อยจากรถยนต์ในกรุงเทพสามารถเติมพื้นที่ขนาดตึกมหานครได้ 23,000 ตึก
    • เวลาที่รถยนต์ใช้งานจริง ๆ มีเพียง 4-5% เท่านั้น (ที่เหลือแทบจะจอดทิ้งไว้เฉย ๆ)

    และหากมองเป็นสเกลระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    • จาการ์ตาและโฮจิมินห์ยังมีรถยนต์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป 5 ปี การจราจรสองเมืองนี้จะเป็นอัมพาต
    • ที่กัวลาลัมเปอร์ ในชั่วโมงเร่งด่วนปี 2565 รถยนต์จะติดมากกว่าเดิม 4.5 เท่า
    • จาการ์ตาต้องใช้พื้นที่ 24,000 สนามฟุตบอลในการจอดรถทุกคันในเมือง
    • คนสิงคโปร์เสียเวลากับการหาที่จอดรถในแต่ละปีคิดเป็นเงินเกือบ 120,000 บาท
    • คนมะนิลาเสียเวลาไปโดยเฉลี่ย 23 วันต่อปีกับรถติดและการหาที่จอดรถ
    • คนที่โฮจิมินห์กว่า 3 ใน 4 เคยผิดนัดหรือพลาดงานสำคัญเพราะมัวแต่หาที่จอดรถ
    • การจอดรถทุกคันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะต้องใช้พื้นที่เท่ากว่า 25 เกาะฮ่องกง

    [​IMG]
    คุณศิริภา จึงสวัสดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Uber

    Uber ได้นำเสนอบริการร่วมเดินทางหรือ ride sharing เพื่อเป็นการแก้ปัญหารถติด ปัจจุบัน Uber เปิดให้บริการในไทยที่กรุงเทพ เชียงใหม่ เชียงราย พัทยา ชลบุรี และขอนแก่น ซึ่งบริการร่วมเดินทางทำให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิม ตอบสนองกับความต้องการเดินทางของคนในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    Uber ได้นำเสนอ Boxes ภาพยนตร์ที่สะท้อนปัญหาการจราจรติดขัด โดยใช้กล่องกระดาษสื่อแทนรถยนต์ ซึ่งจำนวนกล่องมหาศาลเปรียบเสมือนรถยนต์ที่ยึดพื้นที่ในเมือง


    [​IMG]
    คุณมาเรียม จาฟฟาร์ จาก BCG

    ถัดไปคือข้อมูลจาก BCG (The Boston Consulting Group) ประเทศสิงคโปร์ มีคุณมาเรียม จาฟฟาร์ หุ้นส่วนและกรรมการผู้จัดการได้ขึ้นมานำเสนอข้อมูลที่ได้ทำงานวิจัยร่วมกับ Uber เพื่อให้บริการร่วมเดินทางสามารถตอบสนองความต้องการเดินทางของคนในเมืองได้ดียิ่งขึ้น

    บริการร่วมเดินทางในลักษณะที่ Uber ได้ให้บริการอยู่นั้น มีดีอย่างไร

    1. ฐานอุปทานที่ยืดหยุ่น ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา ทำงานเมื่อทำได้ ขยายตัวเพื่อรองรับบริการร่วมเดินทางได้ และมีศักยภาพสูงในการตอบสนองความต้องการในเขตพื้นที่รอบนอก
    2. การรวมอุปสงค์เข้าด้วยกัน รวมเส้นทางเข้าด้วยกัน เพิ่มจำนวนกิโลเมตรที่ประชาชนเดินทางต่อคันให้มากขึ้น
    3. กำหนดเส้นทางอย่างมีประสิทธิภาพและจับคู่อย่างชาญฉลาด เพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดเส้นทางเพื่อลดระยะเวลาเดินทาง

    สามส่วนนี้ ช่วยได้อย่างไร

    1. บริการเดินทาง ช่วยให้วิถีชีวิตที่ต้องการใช้รถยนต์น้อยลง ราว 10-40% ของผู้ที่จะซื้อรถยนต์ในอนาคตใน 10 เมืองใหญ่ยินดีอย่างยิ่งที่จะใช้บริการร่วมเดินทางแทนซื้อรถ
    2. บริการร่วมเดินทาง ช่วยให้จำนวนผู้โดยสารต่อยานพาหนะมากขึ้นได้เฉลี่ยถึง 1.7 เท่า
    3. บริการร่วมเดินทาง ช่วยให้การใช้ยานพาหนะต่อกิโลเมตรมีประสิทธิภาพดีขึ้น ในซษนฟราน จำนวนกิโลเมตรที่ยานพาหนะร่วมเดินทางไม่มีผู้โดยสารอยู่ที่ครึ่งหนึ่งของแท็กซี่
    4. บริการร่วมเดินทาง ช่วยให้เสริมการทำงานระบบขนส่งสาธารณะ ในบางเมืองรายงานผู้ใช้บริการร่วมเดินทางแสดงให้เห็นว่า 40% ของผู้ใช้บริการมีการใช้บริการเดินทางสาธารณะมากขึ้น
    5. บริการร่วมเดินทาง ช่วยให้เสริมประสิทธิภาพในกรอบระยะเวลาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน บางเมืองในสหรัฐฯ ยืดกำหนดการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะออกไป หันมาร่วมมือกับผู้ให้บริการร่วมเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเดินทาง

    จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบริการร่วมเดินทางเป็นการขนส่งส่วนบุคคลอันดับแรก ซึ่งเมื่อลดปริมาณรถยนต์และจักรยานยนต์ได้ถึง 40-70% ผลลัพธ์จากการลดปริมาณรถยนต์ที่ตามมาคือลดความหนาแน่นทางการจราจรลงได้ 50-90% ในเมืองใหญ่ ๆ โดยสิ่งที่ทาง BCG นำเสนอให้ดำเนินการในอนาคตคือ

    • ภาครัฐ ให้ความช่วยเหลือบริการร่วมเดินทาง ส่งเสริมให้มีการร่วมเดินทางมากขึ้น กำหนดหลักการ และเพดานราคา
    • บริษัทผู้ให้บริการ เพิ่มประสิทธิภาพการร่วมเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมเส้นทาง, กำหนดราคา, ความพร้อมให้บริการ และระยะการเดินทาง
    • การร่วมมือกัน แชร์ข้อมูลการขนส่งข้ามระบบ ทำโปรแกรมเดินทางไปกลับจากบ้านถึงจุดบริการขนส่งสาธารณะ จูงใจให้เกิดการร่วมเดินทาง

    [​IMG]
    ดร.ศุภกร สิทธิไชย ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)

    ดร.ศุภกรกล่าวว่า ปัญหาการจราจรและการเดินทาสงเป็นปัญหาร่วมของชุมชนเมืองหลายประเทศ เช่นเดียวกับไทย รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขและพัฒนาเมืองให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีบางส่วนเริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว

    DEPA มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อแก้ปัญหาเมืองภายใต้นโยบาย Smart City ผลักดันให้เกิด Smart City Alliance เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเพื่อผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และผู้บริหารเมืองเข้ามาหารือกันเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและยั่งยืน

    [​IMG]
    ผศ.ดร.ภูรี สิรสุนทร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    ดร.ภูรีกล่าวว่า ทุกวันนี้เรายังมีของเหลือที่ยังไม่ได้ใช้ เราจึงเอาของไปให้เขาใช้ เขาเอาของมาให้เราใช้ ของพวกนี้เวลาแชร์กัน แรงผลักดันที่จะทำให้เกิด sharing economy มีทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ปัจจัยที่สำคัญคือเทคโนโลยี ทำให้การแบ่งปันมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากขึ้น

    เทคโนโลยีที่เรียกว่า 2-sided platform มีบริการร่วมเดินทางได้เพราะมีเทคโนโลยีอยู่ตรงกลาง ที่ให้ผู้โดยสารมาพบกับผู้ให้บริการหรือคนขับรถ ข้อดีคือทำให้ผลกระทบที่เกิดเรียกว่า network effect ผลกระทบเลชิงโครงข่ายที่ทำให้คนรู้จักผ่านตัวกลาง และแชร์กัน ลดเวลาการรอรถโดยสาร ลดเวลาการคอยหาลูกค้า หรือหาคนมาแชร์ โอกาสที่จะเดินเข้าไปเจอกับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางมีมากขึ้นและสูงขึ้น นำมาสู่การกำหนดค่าโดยสารแบบพลวัต (dynamic pricing)

    ระบบนี้คือใครก็ตามที่ยินดีจ่ายในราคาที่สูงกว่าคนนั้นก็มีโอกาสได้เดินทางมากกว่า ส่วนฝั่งผู้ให้บริการ ก็ต้องแข่งกับผู้ให้บริการคนอื่นด้วย เทคโนโลยีที่เข้ามาเชื่อมต่อทำให้คนให้บริการก็อยากให้บริการมากขึ้นเพราะมีคนรออยู่ และความต้องการมีสถานที่ชัดเจน สถานที่ที่การจราจรแออัด ราคาจะปรับตัวเป็นเชิงพลวัต อย่างช่นเราจะต้องจ่ายแพงหากใช้บริการในพื้นที่หนาแน่น เป็นต้น

    ตัวกลางไม่ได้มีแค่คนเดียว เรามีแอพหลายเจ้า มีข้อมูลมากขึ้น ดังนั้นผู้ใช้บริการ อาจจะสมัครรับบริการกับหลายเจ้าก็ได้ จะทำยังไงให้ดึงดูดผู้โดยสารให้อยู่กับเขา เช่น เดินทางก่อนจ่ายทีหลัง โดยสารฟรี ฯลฯ

    ข้อดีที่โดดเด่นคือ ทรัพยากรเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นในอัตราใด? อัตราแรกคือเวลา และเรื่องของระยะทาง เราสามารถใช้ตัวรถหรือยานพาหนะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็แก้ปัญหารถติดแล้วก็ลดการใช้เชื้อเพลิงในการขับขี่ที่ไม่จำเป็น ไปกับการช่วยปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย

    อีกข้อคือ เป็นการเปิดโอกาสทำให้แรงงานในหลายภาคส่วนมีความยืดหยุ่นในการเลือกเป็นผู้ให้บริการ และการแบ่งปันข้อมูล ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ แต่เราโยงไปถึงการแบ่งปันข้อมูลด้วย เราเป็นคนให้ข้อมูลผ่านตัวกลาง คนขับรถก็ให้ข้อมูลผ่านตัวกลาง ถ้าเกิดมีการแชร์ข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม ข้ามธุรกิจ ฯลฯ การเชื่อมต่อหรือแบ่งปันข้อมูลผลสุดท้ายจะเกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ใช่แค่เม็ดเงินแต่เป็นสวัสดิภาพและสวัสดิการของประชาชน

    [​IMG]

    ช่วงถามตอบ (เฉพาะคำถามที่น่าสนใจ)

    Q: ที่มีการรวบรวมรายชื่อเพื่อเปลี่ยนกฎหมาย มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง?
    A: ตอนนั้นที่ Uber ได้เปิดให้ลงชื่อผ่านหน้าเว็บ ทางบริษัทรวบรวมออนไลน์ได้ห้าหมื่นกว่าชื่อ ตอนนี้กำลังรวบรวมอีกครั้ง แบบให้เซ็นเอกสารอย่างเป็นทางการด้วย

    Q: ปัจจุบัน บริการ UberAssit เป็นอย่างไรบ้าง?
    A: UberAssist บริการที่ช่วยจับคู่รถกับคนที่เป็นคนพิการหรือผู้สูงอายุ ตอนนี้ในไทยมีผู้ใช้งานมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และยังอยู่ในช่วงทำกิจกรรมการเรียนรู้กับพาร์ทเนอร์ เพื่อให้คนขับรถสนใจมาร่วมโครงการนี้เพิ่มขึ้น

    [​IMG]

    Topics: UberBangkokThailandResearch
     

แบ่งปันหน้านี้