กองทุนรวมทั่วโลกชื่นชอบตลาดหุ้นเอเชียรวมไทย เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน-วัสดุก่อนสร้าง-สินค้าเพื่อบริโภค เอชเอสบีซี ธนาคารชั้นนำของโลกจากอังกฤษ เผยแพร่บทวิเคราะห์เรื่อง "กองทุนรวมทั่วโลกปรับพอร์ตทั่วเอเชีย" ระบุว่าจนถึงขณะนี้ทุนจากต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียรวมไทยทั้งหมดอยู่ที่ระดับ 3.67 หมื่นล้านดอลลาร์ และเฉพาะในช่วงเดือนส.ค.ปีนี้ คำนวณถึงวันที่ 25 ส.ค. พบเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย 3 พันล้านดอลลาร์ โดย 3 ตลาดแรกได้รับเงินทุนส่วนนี้มากสุด คือ เกาหลีใต้ได้เม็ดเงินมากสุด 1.4 พันล้านดอลลาร์ ไต้หวัน 800 ล้านดอลลาร์ และอินเดีย 700 ล้านดอลลาร์ ตรงข้ามกับตลาดอินโดนีเซียมีทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นมากสุดคือติดลบ 100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้จากการสำรวจดูการปรับพอร์ตของกองทุนรวมทั่วโลก พบว่าจีนยังเป็นตลาดที่กองทุนรวมให้ความสนใจมากสุดตามด้วยอินเดีย และกองทุนรวมต่างชาติได้ปรับลดการลงทุนในตลาดไทยและฟิลิปปินส์ลง เพื่อโยกเงินบางส่วนไปตลาดอินโดนีเซีย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ชะลอการลงทุนกับให้น้ำหนักลงทุนตลาดอินโดนีเซียต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยแล้ว นอกเหนือจากตลาดจีนที่กองทุนรวมทั่วโลกให้น้ำหนักเหนือเกณฑ์เฉลี่ยแล้ว เมื่อแยกดูเฉพาะอนุภูมิภาคปรากฏว่าไทยและเกาหลีใต้ เป็นสองตลาดที่ดูเหมือนกองทุนรวมทั่วโลกให้ความสนใจมากที่สุด และให้น้ำหนักลงทุนปานกลางกับฟิลิปปินส์และอินเดีย ส่วนตลาดอื่นที่เหลือให้น้ำหนักลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ขณะที่สิงคโปร์เป็นตลาดที่กองทุนรวมทั่วโลกชื่นชอบน้อยที่สุด จากการสำรวจความต้องการลงทุนของกองทุนรวมทั่วโลกล่าสุด เอชเอสบีซีพบว่ากลุ่มหุ้นได้รับความสนใจมากสุดคือ กลุ่มพลังงาน, วัสดุก่อสร้าง และสินค้าจำเป็นเพื่อการบริโภค หากดูปริมาณเงินลงทุนที่ไหลเข้าไปในหุ้นกลุ่มสำคัญทั้ง 3 กลุ่มนั้น ในหุ้นกลุ่มพลังงานมีเม็ดเงินจากกองทุนรวมต่างประเทศไหลเข้าทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี และกองทุนรวมต่างชาติหันกลับมาให้น้ำหนักเหนือเกณฑ์เฉลี่ยกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ยกเว้นกลุ่มสื่อสาร, กลุ่มการเงินและไอที ซึ่งเป็นหุ้น 3 กลุ่มในตลาดเอเชียที่กองทุนรวมทั่วโลกให้ความสนใจน้อยที่สุด เอชเอสบีซีเพิ่มเติมว่าจากมุมมองของธนาคารที่มีต่อตลาดหุ้นเอเชียขณะนี้ว่า ยังให้น้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซียและจีน เหนือเกณฑ์เฉลี่ย พร้อมลดน้ำหนักลงทุนตลาดฮ่องกง, มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย และหากประเมินการลงทุนเป็นกลุ่มหุ้น เอชเอสบีซีชื่นชอบหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มการเงินและกลุ่มผลิตสินค้าจำเป็นเพื่อการบริโภค มากที่สุด งานวิเคราะห์ระบุว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ หลังเผชิญภาวะชะลอตัวเนื่องจากความวุ่นวายทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงเดือนพ.ค.ปีนี้ แต่ทีมงานเอชเอสบีซีได้ตั้งข้อสังเกตที่สำคัญคือการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเกิดขึ้นในเดือนก.ค.ปีหน้า และการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้นหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว 3 เดือน ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกหดตัว 0.6% แต่สามารถกลับมาขยายตัวได้ 0.4%ในไตรมาสสอง ผู้กำหนดนโยบายของไทยคาดว่าเศรษฐกิจพื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีแนวโน้มที่นโยบายการเงินยังคงผ่อนคลาย เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่นโยบายการคลังและการลงทุนของภาครัฐ ควรช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปีนี้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของเอชเอสบีซีคาดว่าจีดีพีไทยปีนี้น่าจะโตได้ 1.4% ก่อนเพิ่มเป็น 5% ปีหน้า เอชเอสบีซีชี้ว่า ดัชนีเอ็มเอสซีไอไทยแลนด์ในรูปเงินดอลลาร์ตอนนี้ กลับมาเป็นบวก 17.6% ช่วยให้ตลาดไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ตลาดที่มีผลประกอบการดีสุด และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดี กำไรบริษัทในตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น มูลค่าหุ้นในตลาดสมเหตุสมผล บรรยากาศการทำธุรกิจดีขึ้น บวกกับการใช้จ่ายด้านการคลังมีมากขึ้น และได้นโยบายการเงินสนับสนุน ล้วนเป็นปัจจัยผสมผสานช่วยเกื้อหนุนตลาดหุ้นไทย จึงคาดว่าราคาหลักทรัพย์ในตลาดไทยอาจวิ่งขึ้นมากกว่านี้ และอาจปรับตัวเล็กน้อยในระยะใกล้ แต่มีแนวโน้มที่ตลาดไทยขณะนี้ ยังดึงดูดใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน Tags : กองทุนรวม • พลังงาน • เอเชีย • หุ้น