ปลดเอสพีหุ้น'เอบีซี'โบรกชี้เสี่ยงสูง

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 29 สิงหาคม 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    ตลาดหลักทรัพย์ ปลดเอสพีหุ้น"เอบีซี" วันนี้ เตือน"ผู้ลงทุน" ใช้ความระมัดระวังสูงสุดในการซื้อขายหุ้น

    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งว่า ตามที่ได้หยุดพักการซื้อขายหุ้น บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ABC ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ลงทุนได้มีข้อมูลและเวลาในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดรอบคอบ พร้อมให้ชี้แจงข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ เพิ่มเติม

    เนื่องจากการซื้อขายหุ้นของบริษัทมีความผิดปกติมาก โดยเฉพาะช่วง 6 วันทำการตั้งแต่วันที่ 15-22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 18.20 บาทมาปิดที่ 63.50 บาท พาร์ 1 บาท ในวันที่ 21 ส.ค. และปิดที่ 8.20 บาท (พาร์ 0.10 บาท) ในวันที่ 22 ส.ค. เพิ่มขึ้น 351% ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 118 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ของบริษัทเท่ากับหุ้นละ 0.12 บาท เท่านั้น

    เอบีซี ชี้แจงข้อมูลว่า บริษัทไม่มีพัฒนาการที่สำคัญ และไม่ทราบสาเหตุอื่นใด ที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย และชี้แจงเกี่ยวกับ (1) ประเด็นฐานะการเงินและผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ ถึงสาเหตุที่รายได้จากการขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น และ ที่มาของกำไรจากการขายสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขาย (2) ลักษณะการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน (3) ความคืบหน้าในการประกอบธุรกิจด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

    ตลาดหลักทรัพย์ พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ลงทุนน่าจะมีข้อมูลและระยะเวลาที่เพียงพอแล้วในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เกี่ยวกับลักษณะการประกอบธุรกิจ ฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และข้อมูลเพิ่มเติมที่บริษัทชี้แจงเกี่ยวกับงบการเงินไตรมาส 2 ปีนี้ รวมทั้งข้อมูลอื่นที่บริษัทได้ชี้แจงผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ จึงอนุญาตให้หุ้นเอบีซีซื้อขายได้ตั้งแต่วันนี้ (29 ส.ค.)

    ทั้งนี้ขอให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการซื้อขายหุ้น ควรพิจารณาข้อมูลที่บริษัทได้ชี้แจงผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ และข้อมูลพื้นฐาน ที่แสดงถึงฐานะการดำเนินการที่แท้จริงของบริษัท เทียบกับราคาหุ้นเอบีซี ก่อนการตัดสินใจซื้อขายเพื่อป้องกันความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นของผู้ลงทุนเอง ปัจจุบันบริษัทยังเข้าข่ายเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายผิดปกติตามเกณฑ์ Cash Balance ซึ่งต้องวางเงินสดเป็นประกันล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อหุ้น

    โดยบริษัทชี้แจงข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 2 ปีนี้ว่า รายได้จากการขาย ลดลงอย่างมีสาระสำคัญจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะปี 2556 บริษัทยังคงทำธุรกิจด้านสิ่งทอ มีรายได้หลักจากการผลิตถุงเท้า ขณะที่ปีนี้บริษัทหยุดดำเนินธุรกิจนี้ และเริ่มต้นธุรกิจใหม่ คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนต.ค.2556

    ดังนั้นโครงสร้างรายได้ปีนี้ จึงมีการเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงแหล่งเดียว แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน จึงส่งผลให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้ออสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นยอดขายของบริษัทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจึงลดลง

    ลักษณะการประกอบธุรกิจปัจจุบันของบริษัท ซึ่งเดิมชื่อ บริษัท บางกอกไนล่อน (BNC) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงเท้า บริษัทมีผลขาดทุนต่อเนื่อง เพราะค่าใช้จ่ายการผลิตและการขนส่งปรับตัวสูงขึ้น การแข่งขันรุนแรง ส่งผลให้บริษัทหยุดการผลิตชั่วคราวเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2555 และเลิกจ้างพนักงานตั้งแต่ 31 ม.ค.2556

    ต่อมานายปรเมษฐ์ รังรองธานินทร์ ได้ซื้อหุ้นบริษัท จากผู้ถือหุ้นเดิมผ่านกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่รวม 9,031,057 หุ้น ในราคาหุ้นละ 19.40 บาท พาร์ 10 บาทต่อหุ้น หรือ 68.57% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดของบริษัทจากผู้ถือหุ้นระหว่างวันที่ 1 ต.ค.- 5พ.ย.2556 ในราคาหุ้นละ 19.40 บาท เป็นผลให้นายปรเมษฐ์ถือหุ้นรวม 11,541,640 หุ้น คิดเป็น 87.64%

    นอกจากนี้ นายปรเมษฐ์ ยังได้ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 11 มิ.ย.-8 ก.ค. ที่ผ่านมา 10,465,900 หุ้น ในราคาเฉลี่ยระหว่าง 3.84-18.98 บาท ต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) ปัจจุบันนายปรเมษฐ์ รังรองธานินทร์ได้ถือหุ้นบริษัททั้งสิ้น 104,950,500 หุ้น คิดเป็น 79.69% และได้เปลี่ยนแปลงการประกอบธุรกิจของบริษัทจากเดิมประกอบธุรกิจสิ่งทอ มาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยลงทุนซื้อห้องชุดโครงการบ้านนวธารา รีเวอร์ไลฟ์ 19 ยูนิต มูลค่า 29.23 ล้านบาท เพื่อทำให้มีรายได้เข้ามาในระยะสั้น และระยะกลาง ส่งผลให้บริษัททยอยรับรู้รายได้เมื่อมีการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด

    ปัจจุบันโอนห้องชุดให้ลูกค้าแล้ว 7 ยูนิต มูลค่า 18 ล้านบาท และที่รอโอนอีก 5 ยูนิต คาดทยอยโอนให้ลูกค้าได้ภายในปีนี้ คงเหลืออยู่ระหว่างการขาย 7 ยูนิต คาดขายหมดในปีนี้ และลงทุนซื้อห้องชุดโครงการบ้านสาทร เจ้าพระยา 9 ยูนิต มูลค่า 104.66 ล้านบาท ปัจจุบันโอนให้กับลูกค้าแล้ว 1 ยูนิต ราคา 13 ล้านบาท คงเหลือ 8 ยูนิต และคาดขายได้หมดปี 2558

    บริษัทกำลังวางแผนเปิดธุรกิจใหม่ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเริ่มไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งรูปแบบของธุรกิจจะเป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์ โอนคะแนนสะสมจากบัตรเครดิตของสถาบันการเงินต่างๆ มารวมกันในบัตร ABCPOINT ที่เดียว เพื่อใช้แลกซื้อสินค้าและบริการ ส่วนช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้รองรับการให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมกับกลุ่มพันธมิตรบัตรเครดิต ได้แก่ บริษัทบัตรกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ

    สำหรับที่มาของรายการกำไรจากการขายสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขาย 201.36 ล้านบาท มาจากการขายที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างโรงงาน เนื้อที่ 16-1-17 ไร่ มูลค่า 220 ล้านบาท ให้บริษัท บีเอ็นซีเรียลเอสเตท สาเหตุที่ขายสินทรัพย์ดังกล่าว เพราะเลิกผลิตสินค้าตั้งแต่ปี 2556 จึงไม่ได้ใช้ประโยชน์ โดยนำเงินจากการขายทรัพย์สินไปชำระหนี้ 30 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมกรรมการ 33 ล้านบาท ซื้อห้องชุดโครงการบ้านสาทร เจ้าพระยา 105 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียน

    นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทไม่ได้แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนหุ้นเอบีซี เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นไปสูงจนทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุน อย่างไรก็ตามการที่หุ้นเปิดซื้อขายในวันที่ 29 ส.ค.นี้คาดว่าราคาจะหวือหวาและอาจจะปรับตัวลดลงเพราะถูกตลาดตรวจสอบการซื้อขาย ส่วนนักลงทุนที่ถือหุ้นควรติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันหุ้นเอบีซียังไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจหรือช่วยสนับสนุนการลงทุนในตอนนี้

    Tags : บมจ.แอสเซท ไบร์ท • ABC • ตลาดหลักทรัพย์

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้