คสช.ลั่นลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ย้ำโรดแมพสู่เลือกตั้ง "ประสาร"ชี้เฟดขึ้นดอกเบี้ย-หนี้ครัวเรือน'ปัจจัยเสี่ยง' "ประสาร"จับตา 2 ปัจจัยเสี่ยง กระแสเงินทุนผันผวนจากเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด และ หนี้ครัวเรือน ด้าน"ประจิน"ย้ำโรดแมพสู่เลือกตั้งไม่เกินต้นปี 2559 เดินหน้าลุยโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ขณะนักลงทุนต่างลดความกังวลการเมือง แม้ยังห่วงกฏอัยการศึกกระทบท่องเที่ยว-บรรยากาศลงทุน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และหน่วยงานรัฐ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในงานสัมมนาใหญ่ประจำของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยแสดงความมั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแกร่ง การจัดงานครั้งนี้มีนักลงทุนสถาบันเข้าร่วม 236 ราย จากต่างประเทศ 116 รายจากกว่า 60 บริษัท โดยกองทุนเข้าร่วมเป็นกองทุนขนาดใหญ่ มีมูลค่าการลงทุนรวม 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ มีมูลค่าการลงทุนรวมในประเทศไทย 7 แสนล้านบาท และถือว่าเป็นครั้งที่ 2 ของภาคเอกชนที่จัดงานลักษระเดียวกัน จากก่อนหน้านี้จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในช่วงหลังจากคสช.ยึดอำนาจการปกครอง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวในหัวข้อ”บทบาทของแบงก์ชาติการทำให้ไทยมีศักยภาพเติบโตแท้จริง” ในงานสัมมนา “ไทยแลนด์โฟกัส 2014 ปฏิรูปสู่การเติบโตยั่งยืน”วานนี้(27 ส.ค.) ด้วยการเตือนว่ายังมีความเสี่ยงหลายเรื่องที่ธปท.จะต้องจับตาและติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงปีหน้า "ความเสี่ยงแรกอยู่ที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวต่อเนื่องแข็งแกร่งขึ้น จึงคิดว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐสู่ระดับปกติทำได้เร็วขึ้น จนอาจส่งผลให้กระแสเงินทุนเกิดความผันผวน" ขณะเดียวกันหนี้ภาคครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับสูงถึง 83%ของจีดีพี เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงต้องจับตามอง ซึ่งระหว่างถามตอบ นายประสารยอมรับว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องระวัง และต้องเรียนรู้จากบทเรียนครั้งใหญ่จากประเทศอื่นที่เจอปัญหาจากทั้งหนี้ภาครัฐและหนี้ครัวเรือน “ตอนนี้หนี้สาธารณะของไทยยังบริหารจัดการได้ ส่วนหนี้ภาคครัวเรือนเป็นเรื่องที่ต้องระวังจับตามอง แม้ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลมากมายนัก แต่ต้องระวังเฝ้าติดตาม ต้องใช้นโยบายจำเป็นดูแลสินเชื่อภาคธนาคาร ต้องระวังหนี้ครัวเรือนไม่เพิ่มมากเกินไปเพราะนโยบายรัฐบาลใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ” ทั้งนี้ หนี้สาธารณะสิ้นเดือนมิ.ย. 2557 อยู่ที่ 45.49% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(จีดีพี) และคิดเป็น 7.41% ของงบประมาณประจำปี เน้นใช้นโยบายฟื้นฟูศก.ขยายตัว นายประสาร ยังอธิบายถึงบทบาทของธปท.ในการพัฒนาระบบการเงินเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเติบโตของประเทศ และทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นได้ว่า ประเทศไทยอยู่ในความดูแลภายใต้การบริหารงานของกลุ่มผู้กำหนดนโยบายที่ดี ซึ่งบทบาทของธปท.ขณะนี้คือการฟื้นฟูให้เศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ ด้วยการใช้นโยบายต่างๆช่วยสร้างเสถียรภาพ ส่วนแรกเป็นการสร้างเสถียรภาพเพื่อการเติบโต ด้วยการใช้นโยบายผ่อนคลายการเงิน หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากขึ้น และมากกว่าอัตราเติบโตตอนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาโตต่ำที่ระดับ 3% หรือโตต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยที่ทำได้ 4-4,5% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่เพื่อนบ้านในอาเซียนทำได้ 5% “การสร้างเสถียรภาพด้านการเติบโต จะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถตัดสินใจทางธุรกิจในระยะยาวได้ และเป็นเหตุผลหนึ่งทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ต้องเข้ามามีบทบาทใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายผ่อนคลายมากขึ้นมีมาตั้งแต่ต้นปีนี้ เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เร็วและมากขึ้น” มุ่งสร้างเสถียรภาพทางการเงิน นายประสาร ยังโยงถึงนโยบายผ่อนคลายการเงินของธปท. ช่วยสนับสนุนบทบาทของธปท.ในการสร้างเสถียรภาพด้านราคา เพื่อให้หน่วยงานต่างๆและผู้เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจเกิดความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญนำเศรษฐกิจสู่การฟื้นตัว และกลับมามีศักยภาพเติบโตได้อีกครั้ง นอกเหนือจากการสร้างเสถียรภาพด้านราคาแล้ว บทบาทสุดท้ายของธปท.คือการสร้างเสถียรภาพด้านการเงิน ถือเป็นอีกองค์ประกอบและอีกบทบาทหนึ่ง ที่ทำให้การเติบโตของประเทศแข็งแกร่ง เพราะการไร้เสถียรภาพด้านการเงินหรือภาคการเงิน สามารถทำให้เศรษฐกิจแท้จริงของประเทศปั่นป่วนได้ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลายประเทศในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 'ประจิน'ย้ำโรดแมพ3ระยะ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคสช. ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ กล่าวในงาน "ไทยแลนด์ โฟกัส" วานนี้ (27ส.ค.) ว่า คสช. ยืนยันจะดำเนินการตามโรดแมพ 3 ระยะที่วางไว้ และจะทำทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทย รวมทั้งการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อเอื้อต่อการลงทุน สำหรับโรดแมพ 3 ระยะที่วางไว้ จะเห็นว่าระยะที่ 1 ได้ดำเนินการจนเรียบร้อยแล้ว ส่วนระยะที่ 2 เพิ่งดำเนินการไป คือ การแต่งตั้งสภานิติบัญญัติ (สนช.) และเร็วๆ นี้จะมีการตั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ขณะเดียวกันจะจัดตั้งสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) ส่วนระยะที่ 3 คือ การปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปเศรษฐกิจ รวมทั้งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วเสร็จในปลายปี 2558 จากนั้นจัดการเลือกตั้งไม่เกินช่วงต้นปี 2559 มั่นใจปีนี้โต2%-ปีหน้า 3.5-4% พล.อ.อ.ประจิน กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดยมั่นใจว่าในปีนี้เติบโตได้ในระดับ 2% และปีหน้า คสช. เชื่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-4% "เราไม่ได้พบกับนักลงทุนแค่เฉพาะงานนี้ แต่ 1 เดือนที่ผ่านมา เราเดินสายพบทุกกลุ่ม ทั้งจากจีน เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ยุโรป โดยเรายืนยันว่า จะทำทุกทางเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้กลับคืนมา รวมทั้งมุ่งสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้รองรับกับการลงทุน" พล.อ.อ.ประจินกล่าว โรดแมพช่วยดึงเชื่อมั่นประเทศไทย นายเจสัน อาร์. คอกซ์ กรรมการผู้จัดการและประธานร่วมฝ่ายตลาดทุนโลก ประจำเอเชีย แปซิฟิก ของเมอร์ริล ลินช์ ในเครือของแบงก์ ออฟ อเมริกา กล่าวในงานสัมมนา "ไทยแลนด์ โฟกัส 2014 ปฏิรูปสู่การเติบโตยั่งยืน" วานนี้ โรดแมพของรัฐบาลตอนนี้ จะช่วยดึงความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อไทยกลับคืนมาแน่นอน โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาครัฐด้านสาธารณูปโภคในระยะยาว เป็นเรื่องที่ทุกคนติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะการเกิดเออีซี และโอกาสการลงทุน ที่ต้องมีสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เป็นส่วนสำคัญสร้างความเชื่อมั่น "ไทยยังคงดึงดูดใจต่างชาติ และติดอันดับต้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ที่นักลงทุนต่างชาติเลือกจะเอากำไรที่ได้จากการลงทุนในตลาดพัฒนาแล้ว กลับมาลงทุนใหม่ แม้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวดีขึ้น แต่พวกเขายังคิดที่จะนำเงินกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งทำให้ไทยได้ประโยชน์จากตรงนี้" นายคอกซ์ชี้ว่า นักลงทุนต่างชาติไม่ได้สนใจแค่เรื่องการเมือง แต่ยังมองเรื่องความแข็งแกร่งของภาคเอกชนด้วย โดยเฉพาะการบริหารงาน ซึ่งหมายถึงโอกาสมากมายในการเข้ามาลงทุนในอาเซียน นักลงทุนสนใจฐานะภาคธุรกิจ นายคอกซ์ กล่าวอีกว่าความชัดเจนด้านการเมือง เป็นเรื่องนักลงทุนต่างชาติชื่นชม เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ต่างกังวลหลายเรื่องเกี่ยวกับไทย โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจ แต่นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ ก็สนใจสุขภาพของบริษัทเอกชนในประเทศ และติดตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเอกชนในไทยขณะนี้ "แม้นักลงทุนอาจไม่สบายใจนักกับการใช้กฎอัยการศึกและความผันผวนที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น และนักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจเรื่องสุขภาพบริษัทเอกชนที่พวกเขาสนใจจะเข้ามาลงทุนมากกว่า พวกเขาห่วงว่าบริษัทไทยเหล่านี้จะอยู่ในสถานะที่ดีหรือไม่ และยังให้โอกาสการลงทุนอยู่หรือไม่" ต่อข้อถามที่ว่าหากสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า จะส่งผลอย่างไรต่อไทยนั้น นายคอกซ์ กล่าวว่า ในช่วงที่มีความกังวลกันว่าสหรัฐลดใช้คิวอีและสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยผ่านไปแล้ว คิดว่าความผันผวนของตลาดผ่านไปแล้วหลังซึมซับข่าวเหล่านี้ ตอนนี้เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติก็ยังจะนำเงินบางส่วนเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย ชี้สาธารณูปโภคจุดเด่นดึงดูดต่างชาติ ด้านนายซามูเอล เลอ คอร์นู ผู้จัดการกองทุนอาวุโสจากแมคควารี่ ฟันด์ แมเนจเมนท์ ฮ่องกง ลิมมิเทด กล่าวว่า 2 สัปดาห์ก่อนเขาได้มีโอกาสพบพล.อ. ประยุทธ์ จันโอชา หัวหน้าคสช. ซึ่งขณะนี้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วนั้น และคิดว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย จะสามารถนำความเชื่อมั่นและความเสถียรภาพของตลาดทุนไทยกลับคืนมาได้ และเชื่อมั่นอนาคตของประเทศยังสดใส เมื่อถึงความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ เขาเห็นว่า นักลงทุนต่างชาติมองอนาคตไทยช่วง 1-2 ปีหน้า จีดีพีไทยจะเติบโต 4.5-5% ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม และจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ต่างชาติกังวลกฎอัยการศึก นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ สาขาประเทศไทย ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินซ์ กล่าวว่ามูลค่าการลงทุนของผู้ลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเดือนก.ค. มูลค่าการถือครองมากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย การที่ผู้ลงทุนต่างประเทศมีความเข้าใจในแนวคิดในการปฏิรูป และการบริหารประเทศทำให้ทัศนคติในการลงทุนดีขึ้น ทั้งนี้เสียงสะท้อนจากผู้จัดการกองทุนต่างชาติ ยังให้น้ำหนักในเรื่องกฎอัยการศึก ที่ต้องการให้ยกเลิก เพราะจะส่งปัญหาต่อนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวไทยได้ยากขึ้น หากมีการยกเลิกกฎอัยการศึก จะช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาทันที "นักลงทุนยังมองผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3-4 ว่าจะเติบโตตามที่มองไว้ แต่หากเติบโตได้ตามที่คาดก็จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมากขึ้น" นายกฤติยา วีรบุรุษ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.ภัทร บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว และครึ่งปีหลังมองว่า ยังเป็นการซื้อสุทธิต่อเนื่อง ซึ่งการรับฟังข้อมูลครั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่เข้ารับฟังข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจว่า จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยหรือไม่ "เงินลงทุนจากต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้าสู่ไทย โดยผู้ลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิตั้งแต่ก.ค.จนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต" Tags : ประสาร ไตรรัตน์วรกุล • ลงทุน • ดอกเบี้ย • โครงสร้างพื้นฐาน • คสช. • หนี้ครัวเรือน • โรดแมพ • สาธารณูปโภค • สหรัฐ • เฟด • ธปท. • ประกาศกฏอัยการศึก • พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง