ในโลกของการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ เรื่องของเทคโนโลยี ต้องมาพร้อมกับเรื่องของต้นทุน ในยุคปัจจุบันแทบจะหมดไปแล้ว สำหรับการพัฒนาแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หรือพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับรถรุ่นหนึ่งรุ่นใดโดยเฉพาะ เพราะจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่สูง และทำให้สู้คู่แข่งไม่ได้ โลกยานยนต์ยุคนี้จึงได้เห็นการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันจำนวนมาก ทั้งที่เห็นด้วยตา หรือที่อยู่ภายใน การใช้ร่วมกันไม่เฉพาะภายในยี่ห้อเท่านั้น แต่เรายังได้เห็นการแลกเปลี่ยนข้ามยี่ห้อ หรือว่าการพัฒนาร่วมกันเกิดขึ้นมากมายอีกด้วย ในส่วนของวอลโว่ รถชื่อดังจากสวีเดน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในเชิงขององค์กรที่เปลี่ยนมือจากสวีเดนไปอยู่ภายใต้กลุ่มทุนของจีน มังกรตะวันออกที่ขยับตัวในอุตสาหกรรมยานยนต์ครั้งใหญ่ แต่ว่าในส่วนของโรงงาน หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สวีเดนก็ยังคงดำเนินการต่อไปเช่นเดิม และขณะเดียวกัน วอลโว่ ก็ต้องปรับปรุง เพื่อรับกับการแข่งขันเช่นกัน รวมถึงเรื่องของเครื่องยนต์ วอลโว่จัดการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ที่เรียกว่า Drive-E Powertrain มีหลักการเดียวกับบริษัทรถยนต์ทั่วไปก็คือ ทำให้มีขนาดเล็กลง เบาลง แต่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม และปล่อยไอเสียน้อยลง ท้ายที่สุดวอลโว่ได้คำตอบคือ เครื่องยนต์ 2 รุ่น เป็นเบนซิน 1 รุ่น และดีเซล 1 รุ่น ขนาด 2.0 ลิตร และจากนี้ไปจะใช้เครื่องยนต์ 2 ตัวนี้แหละ สำหรับรุ่นต่างๆที่จะผลิตออกมา ไม่ว่าจะเก๋ง หรือเอสยูวี ก็ตาม ถ้าสงสัยว่าจะทำได้อย่างนั้นจริงหรือ ก็คงต้องมองไปที่ค่ายรถอื่นๆ ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น บีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งมีเครื่องตัวเก่ง อย่าง ดีเซล 2.0 ลิตร ที่ปัจจุบัน ใส่ตั้งแต่ ซีรส์ 1 ถึง ซีรีส์ 5 และ เอ็กซ์ 1 ไปจนถึง เอ็กซ์ 5 ขณะที่วอลโว่เอง ถ้าจะนับตัวสินค้า ก็มีรุ่นหลักๆไม่มากนัก ดังนั้นเชื่อว่าเรื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวจะรับมือได้ไม่ยากเย็นนัก อาจจะมีการปรับตั้งให้ได้สมรรถนะแตกต่างกันไปบ้างตามความเหมาะสมของรถแต่ละรุ่น ล่าสุดวอลโว่ จัดทดสอบรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่ ก็คือ XC 60 D4 ซึ่งรหัส D4 ก็บ่งบอกว่าเป็นดีเซล ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 4,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที มาพร้อมกับเกียร์ อัตโนมัติ 8 สปีด XC 60 เป็นรถในกลุ่มเอสยูวี ตัวเล็กของวอลโว่ รองมาจาก XC 90 ซึ่งคู่แข่งที่ทำตลาดอย่างแพร่หลายในขณะนี้ก็คงจะเป็น บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 3 ซึ่งมีราคาใกล้เคียงกัน โดยวอลโว่บอกว่าราคาต่ำกว่าประมาณ 2 แสนบาท แต่มีหลายๆอย่างที่เด่นกว่า โดยเฉพาะแรงบิดที่สูงกว่า แม้ว่าแรงม้าน้อยกว่ากัน 3 ตัว ก็ตาม วอลโว่เลือกเส้นทางทดสอบจากย่านคลองตัน ออกมอเตอร์เวย์ ก่อนเลี้ยวซ้ายออกบ้านบึง มุ่งเส้น บ้านบึง-แกลงต่อไปเมืองจันทบุรี ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่า เพราะว่าถนนเส้นนี้ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในในสภาพที่สมบูรณ์ เป็นหลุมเป็นร่อง เป็นคลื่นตลอดทาง และแน่นอนว่าเลนขวาซึ่งดีกว่ากันเล็กน้อย ถูกครอบครองด้วยรถที่ขับช้ากว่า แต่ก็เอาเถอะครับ ไม่มีปัญหาสำหรับรถในรูปทรงแบบนี้ สามารถลุยทางดังกล่าวไปแล้ว และก็ทำให้ได้รู้ว่าช่วงล่างของ CX 60 นั้นรับมือได้ดี ในเรื่องของการยึดเกาะถนน เพราะแน่นอนทางเช่นนี้ จังหวะล้อสัมผัสกับผิวถนนไม่ได้ 100% แต่รถก็ยังอยู่ในเกณฑ์ควบคุมง่าย ขับไปคุยกันไป เผลอมองไมล์ วิ่งไปเกือบ 180 ไม่รู้ตัว เรียกว่าไม่เหนื่อยกับการใช้ความเร็วครับ และยิ่งน่าพอใจยิ่งขึ้น เมื่อมีโอกาสเปลี่ยนเลนกะทันหัน แบบไม่ตั้งใจ เพราะรถที่ขับแบบไม่มีวินัย ไม่รู้เรื่องรู้ราว นึกอยากเปลี่ยนเลนก็เปลี่ยน แต่ผมได้ข้อสรุปว่าเยี่ยมครับ ช่วงล่างเอาอยู่ไม่ยากเย็น แต่โดยภาพรวมช่วงล่างอาจจะดูกระด้างไปสักนิด แน่นอนมันดีต่อการขับ แต่ก็อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวนัก เครื่องยนต์ต้องยกให้เขาครับ ดีจริงอย่างที่ว่าไว้ อัตราเร่งดี มาเร็ว เร่งแซงได้สบายหายห่วง การทำความเร็วก็อย่างที่บอกเมื่อสักครู่เผลอแวบเดียว 180 เข้าไปแล้ว สอบผ่านสบายๆ เป็นเครื่องที่ช่วยให้ขับสนุกได้มาก ส่วนอัตราสิ้นเปลือง วอลโว่ เคลมไว้ที่ 21.3 กม./ลิตร แต่ขับแบบผมได้มาก 12 กม./ลิตร ก็น่าพอใจแล้วล่ะครับ ก่อนจะเป็น Drive-E วอลโว่ เริ่มโครงการ Drive-E ในปี 2551 โดยใช้เงินลงทุนวิจัยและพัฒนา 2,000 ล้านโครเนอร์ หรือประมาณ 9,480 ล้านบาท สำหรับสร้างโรงงานผลิตแห่งในในเมือง Skovde สำหรับใช้เป็นสถานที่วิจัย และผลิตเครื่องยนต์ตระกูลใหม่โดยเฉพาะ เพื่อสนองแผนธุรกิจที่จะนำไปติดตั้งให้กับรถยนต์ครบทุกรุ่นภายในปี 2558 การเกิดโครงการนี้ เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจของวอลโว่ ที่เรียกว่า SPA หรือ Scalable Product Architecture ที่มีการจัดกลุ่มสินค้าใหม่ สำหรับรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้ ก็ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันไม่ว่าจะเป็น แชสซี ที่นั่ง ระบบไฟ และเครื่องยนต์ ส่วนเครื่องยนต์ใหม่ที่ได้มา ก็คือ ทั้งเบนซิน และดีเซล 4 สูบ ขนาด 2,000 ซีซี ที่เล็ก และเบาลง 30-50 กก.เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ในตลาดที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกัน และประหยัดกว่าเครื่อง 6 สูบ 10-30% วอลโว่บอกว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของเครื่องยนต์ตระกูลใหม่ก็คือ เทคโนโลยีที่เรียกว่า i-Art ซึ่งพัฒนาหัวฉีดแบบใหม่สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล เป็นครั้งแรกของโลก สามารถฉีดเชื้อเพลิงได้สูงสุด 9ครั้งต่อรอบการหมุนของเครื่องยนต์ 1 รอบ ส่วนการขับขี่ปกติอยู่ในระดับ 3-4 รอบ และยังปรับเพิ่มแรงดันสูงสุดอยู่ที่ 2,500 บาร์ ซึ่งถือว่าสูงมาก และสูงกว่าเครื่องตัวเดิมที่อยู่ในระดับ 1,800 บาร์ Tags : ยานยนต์ • วอลโว่ • ตลาดรถยนต์ • เทคโนโลยี • ช่วงล่าง