เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา Cisco จัดเสวนาวงปิดเรื่อง "Internet of Everything (IoE) เปลี่ยนประเทศไทย" โดยเป็นการสนทนาเกี่ยวกับบทบาท Internet of Everything ในประเทศไทยที่โรงแรม Grand Hyatt Erawan ซึ่งผมมีโอกาสเข้าร่วมงานดังกล่าวนี้ด้วย เลยสรุปมาให้ได้อ่านกันครับ ในงานเสวนาครั้งนี้มีผู้ร่วมเสวนาครั้งนี้จำนวนทั้งหมด 4 ท่าน ประกอบไปด้วย นพ.ภาณุทัต เตชะเสน (รู้จักกันในวงการคือ หมอจิมมี่) ซีอีโอของ Maker Asia ศ.ดร.กาญจนา กาญจนสุต รองประธานฝ่ายวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) คุณอมฤต เจริญพันธ์ ซีอีโอร่วมและผู้ก่อตั้ง Hubba คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการของ Cisco ประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ คุณวัตสันในฐานะเจ้าภาพเริ่มต้นโดยชี้ให้เห็นว่า กระแสของ IoE ไม่ใช่ของที่แปลกใหม่ในระดับสากล แต่กำลังเข้าสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยอธิบายว่าสาเหตุที่ Cisco ไม่ใช่คำว่า Internet of Things (IoT) ในการอธิบายปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะลักษณะของ IoT เป็นเรื่องของอุปกรณ์ระหว่างกัน (Machine-to-Machine: M2M) ขณะที่นิยามของ IoE จะครอบคลุมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุปกรณ์และคน (Machine-to-People: M2P) และระหว่างบุคคล (People-to-People: P2P) ด้วย แนมโน้มในระดับโลกปัจจุบันเอง คุณวัตสันระบุว่ามีอุปกรณ์หลักหมื่นล้านชิ้นที่เชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต และจากการคาดการณ์ในอีก 5 ปีข้างหน้าเอง จะมีมากกว่า 5 หมื่นล้านชิ้น และจะทำให้ประสบการณ์ของคนเปลี่ยนแปลงไปด้วย จากเดิมที่เป็นการสื่อสารกันธรรมดา ไปสู่การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วกว่าเดิมและดีกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดมาจากผลของการแปลงเป็นดิจิทัล (digitization) ของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่สำคัญคือการต้องร่วมมือกัน และสำหรับภาครัฐเอง Cisco ระบุว่าควรมีบทบาทในการส่งเสริมและมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องของ IoE โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมการแพทย์ การผลิต การเกษตร และเรื่องของเมืองอัจฉริยะ (smart city) ซึ่งทั้งหมดจะต้องรองรับด้วยโครงสร้าง (infrastructure) ที่ดีด้วยเช่นกัน ศ.ดร.กาญจนา กาญจนสุต อาจารย์กาญจนาระบุว่า ผลจากการพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ทำให้ IoE สามารถเกิดขึ้นจริง ส่วนหนึ่งเพราะโครงสร้างของอินเทอร์เน็ตถือกำเนิดมาจากความร่วมมือกันของภาคส่วนต่างๆ ซึ่งบทบาทของภาครัฐในช่วงก่อตั้งอินเทอร์เน็ตถือว่ามีน้อย และทำให้อินเทอร์เน็ตสามารถเติบโตโดยไม่ต้องพึ่งพาภาครัฐ จนก้าวหน้าอย่างในทุกวันนี้ IoE จะเข้ามามีบทบาทในฐานะของการช่วยเก็บข้อมูลทั้งในระดับการวิจัยและในระดับเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องของความเป็นส่วนตัวก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ รวมถึงความน่าเชื่อถือด้วย ซึ่งอาจารย์กาญจนาระบุว่าขอให้ทุกฝ่ายใส่ใจในจุดนี้ด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีปัญหาในเชิงของการกำกับดูแล อย่างเช่นปัญหาเรื่องของ Net Neutrality ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาที่นำมาสู่อินเทอร์เน็ตที่แตกกระจาย (fragmented) ไม่เชื่อมต่อเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว นพ.ภาณุทัต เตชะเสน ด้านหมอจิมมี่ออกมาระบุว่า กระแสของ IoE เกิดจากความนิยมที่มาจากเทคโนโลยีซึ่งมีราคาถูกลงและเล็กลงพอที่จะใส่ในอุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่นชิปที่สามารถทำงานได้ครบ (full stack) แต่มีราคาเพียง 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 35 บาท) ทำให้ความนิยมเกิดขึ้นจากผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ อีกทั้งด้วยแนวโน้มของการทำ digitzation และ commoditization ที่ได้รับผลต่อเนื่องจากการพิมพ์ 3 มิติ จึงทำให้กระแสความนิยมอย่าง IoE และ Maker Movement เกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว IoE เป็นโลกที่เกี่ยวพันกับซอฟต์แวร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อัตราการพัฒนาของ IoE ไปเร็วกว่าในช่วงยุคสมัยแรกของการเกิดขึ้นของซอฟต์แวร์ นั่นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ (Model) ของการพัฒนาซอฟต์แวร์จากระบบปิด (closed source) ไปสู่ระบบเปิด (open source) ในปัจจุบัน แนวโน้มที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับ IoE คือเรื่องของการนำมาใช้ในทางการแพทย์ เพื่อสร้างแนวทางที่เรียกว่า “Preventive Medicine” หรือ “การแพทย์ในเชิงป้องกัน” ซึ่งในอนาคตจะนำไปสู่บทบาทของแพทย์ใหม่ ซึ่งบทบาทของแพทย์จะเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำเท่านั้นมากกว่าเป็นผู้ให้การรักษา คุณหมอจิมมี่ระบุว่า หากต้องการให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จในมิติของ IoE มีความจำเป็นต้องมองไปถึงสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งซึ่งมองในระดับภูมิภาค รวมถึงชุมชนของ maker จะต้องเข้มแข็งด้วย โดยคุณหมอเทียบว่า หากในช่วงที่มี App Store ของ Apple ทำให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เติบโตขึ้นอย่างมาก IoE ก็ต้องการสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งและชุมชนเป็นตัวสนับสนุนนั่นเอง ซึ่งแนวโน้มของ IoE จะเริ่มเห็นการเติบโตตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป คุณอมฤต เจริญพันธ์ ส่วนคุณอมฤต ระบุว่าพื้นที่อย่างเช่น co-working space ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและการเติบโตของ IoE เพราะถือเป็นพื้นที่ซึ่งคนทำงานแบบใหม่ (disruptor) มาพบกัน และสร้างจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneur) และมีโอกาสสร้างเครือข่าย (networking) กัน ทำให้มีการพัฒนาอย่างมากในอนาคต สำหรับการพัฒนา IoE ในประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากแม้ว่าเพิ่งจะเป็นช่วงที่เริ่มต้นก็ตาม ตัวอย่างเช่น DriveBot ที่ถือเป็นหนึ่งในผลงานของคนไทยซึ่งสร้างชื่อให้กับวงการสตาร์ทอัพของไทย อย่างไรก็ตามหากเทียบบทบาทในระดับภูมิภาคแล้ว เรากลับมีสตาร์ทอัพอย่าง DriveBot เท่านั้นที่ถือว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งถือว่ายังน้อยและมีพื้นที่อีกมากในระดับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาด้าน IoE นี้ ผมมีโอกาสถามคำถามสั้นๆ ถึงผู้ร่วมเสวนาว่าในเชิงนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับ IoE เช่นนี้ควรจะทำอย่างไร เพราะหากภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุน ก็ย่อมทำให้สภาพของการพัฒนาประเทศไปด้วย ซึ่งอาจารย์กาญจนาเองตอบว่าภาครัฐไม่มีส่วนสำคัญ แต่จะเป็นฝ่ายเอกชนรวมถึงประชาชนทั่วไปที่ต้องขับเคลื่อนด้วย ส่วนหมอจิมมี่ระบุว่าต้องให้ชุมชน maker เป็นคนขับเคลื่อน ด้าน Cisco มองงว่าแม้ภาครัฐอาจจะไม่มีบทบาทสำคัญ แตการที่ภาครัฐสนับสนุนจะเป็นกระดานสปริง (springboard) ที่จะช่วยทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเติบโตไปด้วย ขอบพระคุณทาง Cisco ประเทศไทยมา ณ ที่นี้ด้วยสำหรับงานเสวนาในครั้งนี้ครับ Cisco, Public Policy, Thailand, Internet of Things