เอกชนประเมินเศรษฐกิจปีหน้าผันผวน จาก"เฟดขึ้นดอกเบี้ย-ราคาน้ำมัน" แต่มั่นใจเศรษฐกิจไทยโตได้ 3.5-4% ภาคธุรกิจประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในปีหน้า แต่ยังประเมินว่ามีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐและ ราคาน้ำมัน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีความผันผวนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวในงานสัมมนา "Engineer Dinner Talk 2015" ทิศทางไทยในปีแห่งการคืนความสุข จัดโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าในปี 2558 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจคาดว่าจะอยู่ที่ 3.5% แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างรวดเร็วสะท้อนเศรษฐกิจโลกที่ยังมีปัญหาความไม่สมดุล ซึ่งจะส่งผลดีกับประเทศไทยในแง่ของต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่ปรับลดลงและทำให้สหรัฐชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นปลายปีหน้า "หากสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้สภาพคล่องของประเทศในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยหายไปและเงินบาทอ่อนค่า ส่วนผลกระทบอยู่ที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ทั้งนี้คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าจะทรงตัวที่ 2% และหากเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นอาจปรับลดลงมาเหลือ1.75% ได้" อย่างไรก็ตามหากประเทศไทยจะหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางจะต้องมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับ 7% ต่อปี หากยังคงเติบโตในระดับ 3-4% เช่นนี้คงต้องใช้เวลา 60 ปี ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้มากกว่าระดับปัจจุบันจึงต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ “ปีหน้าจะเกิดความผันผวนในช่วงที่มีการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด นักลงทุนจะต้องเผชิญความท้าทายจากความโลภและความกลัว สำหรับไทยที่อยู่ระหว่างการปฏิรูปประเทศจะเป็นช่วงที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดและเศรษฐกิจจะโตน้อยกว่าคาด แต่จะเป็นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับประเทศ เราอยู่ทาง 2 แพร่ง เพราะประชานิยมได้ผลเร็วแต่มีผลข้างเคียง แต่การปฏิรูปจะต้องเจ็บปวดและเติบโตช้า” 'ไพรินทร์'คาดน้ำมันต่ำสุดก.พ.ปีหน้า นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแนวโน้มราคาน้ำมันยังปรับลดลงได้อีก หลังจากที่ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกมีมากกว่าความต้องการในตลาดโดยมองว่ามีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับลงต่อเนื่องไปถึง 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อ้างอิงจากปี 2551 ที่ราคาน้ำมันลดลงจาก 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเวลา 6 เดือน ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะถึงจุดต่ำสุดในเดือนก.พ. 2558 และหลังจากนั้นราคาน้ำมันจะค่อยขยับขึ้น ชี้ปี'58พลังงานผันผวน-ทดสอบฝีมือบริหาร “ในปี 2558 จะถือเป็นปีแห่งการคืนความสุขให้กับผู้บริโภคพลังงานเพราะ 3-6 เดือนจากนี้จะเป็นปีที่พลังงานราคาถูก โดยราคาน้ำมันปรับลดลง 40%แล้วตั้งแต่เดือนส.ค.-ธ.ค. และลงต่อเนื่องไปถึงก.พ.ปีหน้า ราคาน้ำมันจะถึงจุดต่ำสุด เลวร้ายสุดไม่น่าจะต่ำกว่า 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในทางกลับกันปีหน้าจะเป็นปีแห่งความทุกข์ของผู้ผลิตน้ำมัน เพราะจะเป็นปีที่มีความผันผวนด้านพลังงานและเป็นปีทดสอบความสามารถในการบริหารงาน” นายไพรินทร์ กล่าวว่าตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ปตท.สำรองน้ำมันเพิ่มจาก 5% เป็น 6% ถือเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และรับผลขาดทุน หรือ stock loss มากขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง คาดปีหน้าใช้ปูนซีเมนต์เพิ่ม6% ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทยหรือ เอสซีจี กล่าวว่า โครงการลงทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคในปี 2558 จะหนุนให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในปีหน้า จะเติบโต 6% จากปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบ 1% จากที่ปกติมียอดการใช้ปูนประมาณ 40 ล้านตันต่อปี โดยราคาน้ำมันที่ปรับลดลงส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและประกอบกับภาครัฐเร่งโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนราคาปูนจะปรับลดลงตามต้นทุนน้ำมันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลไกการตลาด โดยที่ผ่านมาราคาปูนก็ได้มีการปรับลดลงมาในระดับหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ผลดีจากราคาดีเซลที่ลดลงแต่ก็ได้รับผลกระทบจากราคาแอลพีจีที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีของเอสซีจี พบว่าได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ลดลง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนต่างต้นทุนกับราคาขายหรือspread ปรับตัวสูงขึ้น โดยสัปดาห์ที่แล้วสูงถึง 800 ดอลลาร์ต่อตัน เพราะต้นทุนแนฟทาลดลงเหลือประมาณ 490 ดอลลาร์ต่อตัน จากที่ในอดีตสูงถึง 1 พันดอลลาร์ต่อตัน เบอร์ลี่คาดเศรษฐกิจปีหน้าสดใส นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าว่า จะมีอัตราเติบโตที่ดี โดยมีปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว จากการเมืองนิ่งการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ในปีหน้าโลกยังมีการปฏิรูปใน 3 ด้าน ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมายังเอเชีย ได้แก่ 1.การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนที่พยายามเข้ามามีบทบาท เพิ่มอำนาจด้านเศรษฐกิจ การเมืองในเวทีโลก และเวทีในระดับภูมิภาคมากขึ้นกลายเป็นการสร้างแรงเสียดทานให้กับมหาอำนาจเดิม หรือการที่ญี่ปุ่นพยายามกลับมามีอำนาจในบริบทโลกอีกครั้ง 2.การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการต่างๆ อย่างสหรัฐฯ เตรียมลงทุนปรับระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ใช้มานาน ขณะที่ไทยจะมีการสร้างรถไฟความเร็วสูง และจีนจะลงทุนสร้างเส้นทางสายใหม่เชื่อมยุโรป เกาหลีลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี 5 จี 3.การปฏิรูปประเทศไทยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ จึงต้องมาดูว่าจะกำหนดยุทธศาสตร์อย่างไรต่อไป เชื่อ "คอนซูเมอร์" โตตามจีดีพี นายอัศวิน กล่าวอีกว่า จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น และแนวโน้มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่คาดว่าจะขยายตัวในปีหน้า จะส่งผลให้ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเติบโตสอดคล้องกับจีดีพี แม้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยจะอยู่ในระดับสูงแต่คาดว่าจะไม่กระทบต่อตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ ส่วนภาพรวมบริษัทในปีนี้ คาดว่า ยอดขายจะใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งปิดยอดขายกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท ส่วนอัตรากำไรปีนี้ปรับตัวลดลงแน่นอน โดย 9 เดือน บริษัทมีกำไร 1,115 ล้านบาท จากทั้งปี 2556 มีกำไร 2,425 ล้านบาท นอกจากนี้ หากมองภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียนปีหน้ามองว่า ผู้ที่ได้รับประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจจะแบ่งเป็น3 กลุ่ม ได้แก่ 1."กลุ่มผู้ผลิต" ในตลาดเวียดนาม เนื่องจากเป็นตลาดที่กำลังต้อนรับการลงทุนจากนานาชาติ 2. "กลุ่มพ่อค้าคนกลาง" ผู้นำเข้าหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้า ในตลาดพม่าและลาว น่าจะได้ประโยชน์ เพราะพม่าเพิ่งเปิดประเทศ แทบจะไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงต้องนำเข้าสินค้า ผ่านตัวแทนจำหน่าย ส่วนลาวตลาดเล็กจึงต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่นกัน 3. "กลุ่มผู้บริโภค" สำหรับตลาดในไทย ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะมีปัจจัยบวกจากราคาพลังงานที่ลดลง ผู้ผลิตไม่มีแนวโน้มปรับราคาสินค้า และการเดินหน้านโยบายรัฐบาลเพื่อลดภาระราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง "พฤกษา"คาดอสังหาฯโตรับเออีซี นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)คาดการณ์ว่า จีดีพีปีหน้าจะเติบโตในระดับ 4% ส่วนแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะเติบโตในทิศทางที่ดี จากปัจจัยการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปลายปี2558 ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ ความต้องการที่อยู่อาศัยจึงน่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม นอกจากนี้ ภาคอสังหาฯยังมีปัจจัยบวกจากทิศทางราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวลดลง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีหน้าคาดว่าจะปรับลดลงเล็กน้อย ปรับกลยุทธ์ใหม่ปีหน้า ส่วนความท้าทายในปีหน้า จะใช้กลยุทธ์ Bottom up ดึงพนักงาน 3,400 คน มามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของผู้บริโภค โดยที่ผ่านมาบริษัทจะเน้นกลยุทธ์ Top down คือผู้บริหารจะมุ่งพัฒนานวัตกรรม การก่อสร้าง คุณภาพการก่อสร้าง เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยลบกระทบธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทปรับเป้าหมายยอดขาย 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2560 เลื่อนออกไปอีก1-2 ปี ส่วนภาพรวมบริษัทปีนี้ยอดขายเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ แต่รายได้ยังคงเติบโต 15% Tags : ภาคธุรกิจ • ภาคเอกชน • เศรษฐกิจ • จีดีพี • บุญทักษ์ หวังเจริญ • ไพรินทร์ ชูโชติถาวร • กานต์ ตระกูลฮุน • อัศวิน เตชะเจริญวิกุล • ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์