แนะนำหนังสือ “โรงเรียนบันดาลใจ” เมื่อระบบการศึกษาต้องปรับตัวให้เป็นปัจเจกมากขึ้น

Discussion in 'เทคโนโลยี' started by iPokz, May 29, 2016.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    หนึ่งในข่าวด้านการศึกษาที่ถูกพูดถึงมากใน Blognone คือการผลักดันให้การเขียนโปรแกรมเป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐานที่นักเรียนในสหรัฐฯ ทุกคนต้องได้เรียน ประเด็นที่น่าสนใจคือการบังคับให้เด็กทุกคนต้องเรียนนั้นเหมาะสมหรือไม่ เมื่อฝ่ายหนึ่งมองว่าเด็กต้องเรียนเป็นพื้นฐานเพื่อตามโลกสมัยใหม่ให้ทัน และอีกฝ่ายมองว่าเด็กควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกเรียนวิชาที่ตนสนใจ ความเห็นที่แตกต่างนี้เกิดขึ้นมาจากการพยายามรักษาสมดุลของระบบการศึกษา ไม่ให้ก้าวก่ายการเรียนรู้ของนักเรียนจนเกินไป แต่ก็ยังสามารถให้ประโยชน์แก่ผู้เรียนได้

    หนังสือ “โรงเรียนบันดาลใจ” ที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้ เป็นหนังสือที่พูดถึงปัญหาของระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วโลก ซึ่ง Ken Robinson และ Lou Aronica สองผู้เขียนหนังสือ มองว่าระบบที่ใช้กันอยู่นั้นขาดสมดุล เพราะเคร่งครัดกับมาตรฐานกลางมากไป จนขัดขวางพัฒนาการของเด็ก กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาการศึกษาในปัจจุบัน การเพิ่มรายวิชาบังคับโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมานั้นจะยิ่งทำให้ระบบการศึกษาเสียสมดุลหนักเข้าไปอีก

    อนึ่ง ผมแนะนำในฐานะที่สนใจในปัญหาการศึกษาของประเทศ ไม่ได้มีตำแหน่งหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแต่อย่างใด

    แนะนำหนังสือ


    [​IMG]

    “โรงเรียนบันดาลใจ” (ชื่อภาษาอังกฤษ “Creative Schools: The Grassroots Revolution That’s Transforming Education”) เขียนโดย Ken Robinson และ Lou Aronica แปลไทยโดยคุณวิชยา ปิดชามุก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ openworlds

    แนะนำผู้เขียน: Ken Robinson


    [​IMG]Sir Ken Robinson นักวิชาการด้านการศึกษา หนึ่งในผู้เขียนหนังสือ “โรงเรียนบันดาลใจ” (ที่มาภาพ: Wikipedia)

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 นักวิชาการด้านการศึกษานาม Sir Ken Robinson ได้ขึ้นเวที TED Talk และพูดถึงประเด็นด้านการศึกษาไว้ในหัวข้อ “Do schools kill creativity?” ประเด็นนี้ได้รับการพูดถึงอย่างมาก และกลายเป็นคลิปที่มียอดชมสูงที่สุดในเว็บไซต์ ted.com

    คุณ Ken พูดทิ้งไว้ว่า เด็กๆ ทุกคนต่างเกิดมามีพรสวรรค์ มีความคิดสร้างสรรค์ที่สูงล้น และมีความกระหายอยากจะเรียนรู้ แต่น่าเสียดายที่เมื่อเด็กๆ เข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว สิ่งเหล่านั้นกลับเหือดหายไป ทั้งที่สังคมให้ค่ากับมันเสมือนว่าเป็นของที่หายาก

    [​IMG]
    ภาพนี้น่าจะเป็นข้อสรุปคลิปการบรรยายของ Ken Robinson ได้ดี อย่างไรก็ตาม ผมยังคงแนะนำให้ดูคลิปวิดีโอดังกล่าวครับ (ที่มาภาพ: Cinismoilustrado via Spill my beans)

    โรงเรียนบันดาลใจ


    พอมาถึงปี 2015 Ken Robinson ก็ได้ร่วมงานกับ Lou Aronica ช่วยกันเขียนหนังสือ “โรงเรียนบันดาลใจ” เพื่อต่อยอดประเด็นด้านการศึกษาที่พูดไปในครั้งนั้น โดยใช้ประสบการณ์จากการทำงานของเขาตลอดระยะเวลาหลายปี รวบรวมปัญหาของระบบการศึกษาทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นำเสนอโครงการการศึกษาและโรงเรียนที่สามารถสร้างกระบวนการศึกษารูปแบบใหม่ๆ ที่ดีขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งเสนอแนะรูปแบบการศึกษาในความเห็นของผู้เขียน

    เนื้อหาในหนังสือครอบคลุมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ตั้งแต่ตัวระบบการศึกษาเองที่เกิดขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม, ปัญหาที่เด็กนักเรียนต้องเผชิญในระบบการศึกษา, กระบวนการสอนของครู, บทบาทที่แท้จริงของครูใหญ่, ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน, หลักสูตรการศึกษา, การสอบและประเมินผลที่ต้องบอกมากกว่าเกรดและคะแนนสอบ, จนไปถึงนโยบายของรัฐที่หวังดีแต่ดันไปขัดขวางศักยภาพของเด็กเสียเอง

    ในช่วงต้น หนังสือได้พูดถึงระบบการศึกษาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ว่าเพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่างในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม เนื่องจากสมัยนั้นตลาดต้องการแรงงานที่มีฝีมือเป็นจำนวนมาก และรัฐมีรายได้มากพอจากการจัดเก็บภาษี จึงได้สร้างระบบการจัดการที่มีโครงสร้างแบบอุตสาหกรรม โดยจัดกลุ่มนักเรียนตามชั้นปี จัดแบ่งตารางเรียนสำหรับเด็กออกเป็นคาบๆ จัดการสอบเลื่อนชั้นเพื่อเรียนในระดับสูงขึ้น เป็นต้น และสร้างมาตรฐานกลางเพื่อให้ทุกสถานศึกษาปฏิบัติตาม คุณ Ken ชี้ว่าระบบแบบนี้จะประพฤติกับเด็กและตัดสินเด็กด้วยมาตรฐานเดียวกัน ไม่เหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และมีความหลากหลาย

    ช่วงหลังจะเป็นการพูดถึงองค์ประกอบต่างๆ ของระบบการศึกษา ซึ่งสามารถสรุปคร่าวๆ ว่า เราก็เลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยการสร้างระบบให้เข้มงวดมากขึ้นไปอีกโดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมา หนังสือจึงได้นำเสนอประเด็นต่างๆ ด้วยมุมที่ส่วนใหญ่มองข้ามไป เช่น ประเด็นข้อสอบกลาง หนังสือหยิบประเด็นการสอบ PISA ว่าทำให้การศึกษาในประเทศหลงทิศทางไปจากที่ควรจะเป็นอย่างไร และพูดถึงว่าแม้แต่มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนที่ครั้งหนึ่งเคยได้คะแนนสอบ PISA สูงที่สุดในโลก ก็ยังเอาใจออกห่างจากการสอบนี้

    โครงการต่างๆ และโรงเรียนที่หนังสือหยิบมาเล่าเป็นตัวอย่างแทรกในแต่ละบทนั้นก็น่าสนใจ ทั้งในแง่ของเบื้องหลังและผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งกว่าที่โรงเรียนเหล่านี้จะพัฒนามาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายๆ ฝ่าย ไม่รอให้ภาครัฐมาออกนโยบายแก้ปัญหาเพียงฝ่ายเดียว ที่สำคัญ แต่ละโรงเรียนต่างก็แก้ไขปัญหาหรือสร้างสรรค์กระบวนการศึกษาในแบบของตัวเอง ไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว เรียกได้ว่า ได้รับแรงบันดาลใจทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องราวของโรงเรียนเหล่านั้นกันเลยทีเดียว


    โรงเรียน High Tech High เป็นโรงเรียนหนึ่งที่ถูกหยิบยกเป็นตัวอย่างหนึ่งในหนังสือ มีการเรียนการสอนแบบ project-based learning เน้นให้เด็กลงมือทำโครงการเพื่อชุมชน และใช้กระบวนการที่เรียกกันว่า Presentation of Learning แทนการสอบปลายภาค

    ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นทั้งความพยายามในการแก้ไขจุดบกพร่องของระบบการศึกษา และปัญหาของการที่รัฐออกนโยบายไปขัดขวางความพยายามนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ คือโครงการ Learning Record ซึ่งพัฒนาโมเดลการประเมินผลการอ่านและการเขียนของเด็กขึ้นเพื่อใช้แทนการทำข้อสอบ (standardized test) โดยครูจะต้องบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กผ่านบันทึกแปดหน้าที่เรียกว่า Primary Language Record และจะต้องไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองเพื่อดูว่าพื้นเพของเด็กเป็นแบบไหน และการเรียนรู้แบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเค้า โมเดลนี้แพร่หลายในสหราชอาณาจักร จนกระทั่งถูกนำมาปรับใช้ที่รัฐแคลิฟอร์เนียและได้รับอนุญาตให้เป็นโมเดลทางเลือก น่าเสียดายที่โครงการนี้ถูกยกเลิกไปเพราะนโยบาย NCLB (No Child Left Behind) ของสหรัฐฯ บังคับให้โรงเรียนต้องยึดมาตรฐานเดียวในการประเมินผล

    ขอให้การศึกษาเป็นเรื่องของปัจเจกมากขึ้น


    สิ่งที่ “โรงเรียนบันดาลใจ” นำเสนอมาโดยตลอดคือ การให้นักเรียนมีอิสระในการเรียนรู้มากขึ้น ครูและโรงเรียนมีโอกาสได้พัฒนาแนวทางการสอนที่เหมาะสมกับเด็กในโรงเรียนมากขึ้น และรัฐใส่ใจตัวระบบให้น้อยลง หันมาใส่ใจบุคคลที่อยู่ในระบบให้มากขึ้น

    ในขณะเดียวกัน คุณ Ken ก็ไม่ได้ต้องการให้สิ่งที่เค้านำเสนอนั้นเป็นขั้วตรงข้ามกับระบบที่มีอยู่เดิม การศึกษาไม่มีวิธีการที่ดีที่สุด แต่ต้องปรับตัวกันไปเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นในตอนนั้น สิ่งที่หนังสือนำเสนอจึงไม่ใช่การล้างระบบเดิมที่มีอยู่ออกไปเสียหมด แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบการศึกษาที่ทุกวันนี้โน้มเอียงไปในทางที่ยึดติดกับมาตรฐานกลาง

    สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าการศึกษาจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด เราทุกคนจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของมัน ไม่ว่าคุณจะเป็นครู นักเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ศิษย์เก่า หรือผู้ปกครองของเด็ก การศึกษาจึงเป็นวาระที่ทุกคนควรให้ความสนใจ และผมเชื่อเหลือเกินว่าหนังสือเล่มนี้จะสามารถพาไปเปิดโลกทัศน์ทางการศึกษาจากทั่วโลกได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม

    ชมตัวอย่างหนังสือได้ที่เว็บไซต์สำนักพิมพ์ openworlds
    สั่งซื้อหนังสือได้ที่เว็บไซต์ readery.co


    Topics: EducationReviewBook
     

Share This Page