ข่าวหนึ่งในงาน Google I/O 2016 ที่ผ่านมาคือ Project Ara เลื่อนเป็นปี 2017 และลดความยืดหยุ่นลงจากระบบที่ประกาศไว้ว่าปรับเปลี่ยนได้ทุกชิ้นส่วน มาเหลือแค่การเปลี่ยนแค่โมดูลเสริมเท่านั้น ข่าวนี้สร้างความผิดหวังให้หลายคนที่สนใจ Project Ara ทางเว็บไซต์ CNET มีโอกาสสัมภาษณ์ Rafa Camargo หัวหน้าทีมวิศวกรของโครงการ ถึงสาเหตุในการปรับเปลี่ยนแผนการครั้งนี้ Camargo อธิบายว่าแนวคิดการสร้าง "โครง" (endoskeleton) แบบเดิมไม่เวิร์ค เพราะทดสอบเครื่องต้นแบบรุ่นเดิมกับผู้ใช้ พบว่าส่วนใหญ่ไม่แคร์เรื่องการถอดเปลี่ยน "ฟังก์ชันหลัก" ของระบบ แต่กลับคาดหวังว่ามือถือ Ara จะมีฟังก์ชันหลักเหล่านี้ทำงานได้เหมือนเดิมทุกครั้งเสมอ ทางโครงการจึงต้องลดขอบเขตของงานลง จากมือถือถอดเปลี่ยนได้ทุกอย่าง มาเหลือการ max-and-match ผสมผสานโมดูลแทน เบื้องต้น Project Ara Developer Edition ที่จะวางขายปีนี้ มี 4 โมดูลที่กูเกิลผลิตเองทั้งหมด ได้แก่ ลำโพง กล้อง สตอเรจเพิ่มเติม และหน้าจอ E-Ink โมดูลลำโพงจะได้ Harman Audio มาร่วมพัฒนาฮาร์ดแวร์ด้วย การที่โมดูลลำโพงมีขนาดใหญ่ จะส่งผลให้เสียงดีขึ้น และน่าจะเป็นจุดขายสำคัญอย่างหนึ่งของ Ara เราสามารถติดตั้งโมดูลเดียวกันหลายชิ้นได้ ตัวอย่างเช่น ใส่โมดูลลำโพงหลายชิ้น ร่วมกับโมดูลแบตเตอรี่อีกหลายชิ้น กลายเป็นเครื่องเสียงพกพา การใส่โมดูลแบตเตอรี่เพิ่ม จะช่วยให้แบตอึดขึ้นอีก 45% ในระยะยาว กูเกิลหวังว่าจะเห็นโมดูลแปลกใหม่จากนักพัฒนาภายนอก ตัวอย่างที่เขาพูดถึง เช่น รีโมทรถยนต์, สเปรย์พริกไทย, ตัววัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ, ตัววัดน้ำตาลในเลือดสำหรับคนเป็นเบาหวาน เป็นต้น ตัวบัสเชื่อมต่อระหว่างโมดูล เรียกว่า Greybus ส่งข้อมูลได้ความเร็วสูงสุด 11.9 Gbps และกินไฟเพียงแค่หนึ่งในสามของ USB สถานะของ Project Ara ตอนนี้คือเลื่อนชั้นจากโครงการภายใต้หน่วย Google ATAP มาอยู่ภายใต้การดูแลของ ทีมฮาร์ดแวร์ที่คุมโดย Rick Osterloh อดีตซีโอโอของ Motorola ในงาน Google I/O กูเกิลยังโชว์การสั่งงานด้วยเสียง "OK Google, eject camera" แล้วโมดูลกล้องดีดตัวออกมาจากเครื่องด้วย "OK Google, eject the camera." Now that's what I want in a modular phone. Assuming it only recognizes me, that is! pic.twitter.com/y7gzXpkL8l — Sean Hollister (@StarFire2258) May 20, 2016 ที่มา - CNET Topics: Project AraGoogleATAP