'ปรีดิยาธร'ลุยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

Discussion in 'ข่าวสารการลงทุน' started by iPokz, Nov 24, 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    (รายงาน) "ปรีดิยาธร" ลุยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แก้กฎหมายเอื้อลงทุน-ปรับ "ภาษี-พลังงาน"

    วานนี้ (23 พ.ย.) ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ “การขับเคลื่อนประเทศไทย” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 32 ที่ จ.เชียงราย โดยกล่าวถึงนโยบายสำคัญที่จะผลักดันในรัฐบาลชุดนี้ แก้กฎหมายหนุนต่างชาติตั้งสำนักงานใหญ่ในไทย แก้กฎหมายรับเออีซีกว่า 100 ฉบับ และปรับภาษีเพิ่มรายได้รัฐ และปรับโครงสร้างราคาพลังงาน มีรายละเอียดดังนี้

    ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเห็นผลต่อเศรษฐกิจได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2558 อย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้จีดีพี ขยายตัวได้ในระดับ 4% โดยงบลงทุนในปี 2557 คาดว่าจะเซ็นสัญญาการใช้งบประมาณได้ 10.5% ของ 1.4 แสนล้านบาท ภายในเดือนธ.ค. ซึ่งเงินจำนวนนี้จะเข้าสู่ระบบได้ทันที

    ขณะที่งบลงทุนในปี 2558 ภายใน 3 เดือนแรกก็ได้มีการเซ็นสัญญาใช้แล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. จะมีเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น ดันให้เศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2558 เป็นต้นไป

    ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า รัฐบาลได้พยายามปรับแก้กฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชน โดยภายในวันอังคารที่ 25 พ.ย. 2557 จะมีการเสนอการปรับแก้กฎหมายด้านภาษีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค (อาร์โอเอช) เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองไทย โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเทียบเคียงกับฮ่องกง และสิงคโปร์ ได้อย่างแน่นอน

    ขณะที่ขั้นต่อไปจะปรับแก้การขออนุญาตเข้าทำงานของชาวต่างชาติให้เอื้อนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

    ด้านการส่งเสริมการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ขณะนี้ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่การเตรียมตัวของภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องการปรับแก้กฎระเบียบ กฎหมายต่างๆ ให้สอดคล้องกับการเปิดเสรี

    "ปัจจุบันมีกฎหมายกว่า 100 ฉบับที่รอการปรับแก้อยู่ โดยรัฐบาลจะพยายามดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. 2558 เพื่อการทำการค้าการลงทุนของผู้ประกอบการไทยภายในอาเซียนเป็นไปอย่างสะดวก เพราะหากดำเนินการไม่ทันจะเป็นอุปสรรคต่อการค้าได้"

    ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันการขับเคลื่อนประเทศไทย รัฐบาลชุดนี้ต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันการปฎิรูปประเทศ เพราะหลายเรื่องหากรัฐบาลชุดนี้หมดวาระไป ปัญหาเดิมก็จะกลับคืนมา ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่ประเทศไทยยังคงมีจุดอ่อนในด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น โครงสร้างพลังงาน ที่มีการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยมากกว่า 18.8% ของจีดีพี

    "รัฐบาลชุดนี้มีหน้าที่เข้ามาปรับโครงสร้างพลังงานระยะยาวให้ราคาพลังงานสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง"

    ปัญหาโครงสร้างการหารายได้ของรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องปรับการหารายได้เพิ่ม เพื่อนำมาซึ่งงบประมาณในการลงทุนพัฒนาประเทศ เช่น การจัดเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดินและทรัพย์สิน ภาษีน้ำมันดีเซล เป็นต้น ปัญหาโครงสร้างการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันมีการวางแผนได้เรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาจะดำเนินการตามแผนที่วางไว้

    ด้านการเพิ่มรายได้ให้ผู้ยากไร้โดยเฉพาะเกษตรกรชาวนา และชาวสวนยาง จะเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว ทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงโดยไม่ใช้มาตรการที่กระทบตลาด เป็นต้น

    ขณะที่จุดอ่อนด้านสังคม ประเทศไทยมีจุดอ่อนมาก ได้แก่ ปัญหาความปลอดภัยในชีวิต การศึกษา และปัญหาหนี้สิน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้กับสภาปฏิรูป และสุดท้ายจุดอ่อนด้านการเมือง ได้แก่ ระบบการเมืองที่รวมอำนาจบริหารและนิติบัญญัติไว้ด้วยกัน ทำให้ไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจกันได้ ปัญหาค่านิยมนักการเมือง และขบวนการขจัดนักการเมืองที่ทำผิด

    "การแก้ไขก็ขึ้นอยู่กับสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และการร่วมมือกันของภาคเอกชนและทุกภาคส่วนให้ช่วยเดินหน้ากันกดดันปัญหาคอร์รัปชัน"

    ..............................................................................................

    หอการค้าไทยจี้สมาชิกปรับรับโอกาส-แข่งขัน

    นายกลินท์ สารสิน กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า ได้สรุปผลการสัมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 32 (สมุดปกขาว) โดยเห็นว่าภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวใน 3 ด้าน

    ด้านแรก “อาเซียน : โอกาสที่ไร้พรมแดน” (ASEAN : Borderless Opportunities) นั้นผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัว และเรียนรู้กฎระเบียบของเออีซีในสาขาที่เกี่ยวข้องกับตนเองให้ชัดเจนลึกซึ้งและครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทานผู้ประกอบการควรใช้ประโยชน์จากกฎระเบียบการค้าต่างๆ อาทิ กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) รวมถึงมาตรการที่มิใช่ภาษี

    ผู้ประกอบการควรทำการศึกษากฎ ระเบียบ และการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการค้าชายแดน การค้าผ่านแดน และการค้าข้ามแดน เพื่อสามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านการค้าการลงทุนภายใต้เออีซี

    ด้านที่ 2 “ต้องเป็นเลิศตลอด !! ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ” (Being excellent the whole Value Chain) ที่ประชุมเห็นว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจเอกชน ถูกแรงกดดันจากกระแสโลกาภิวัตน์ และการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ

    ดังนั้น ควรมุ่งพัฒนาธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตลอด Value Chain เพื่อให้มีความเชื่อมโยง (Connectivity) กันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งเราควรรู้แนวโน้มและทิศทางธุรกิจ ซึ่งในกลุ่มได้วิเคราะห์ถึง

    ปัจจัยที่นำไปสู่ความเป็นเลิศ คือ วิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การจัดการ กระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ การสร้างส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ ลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่ได้สร้างคุณค่า

    มีข้อเสนอแนะที่หอการค้าไทยและผู้ประกอบการควรดำเนินการดังนี้ การรวมกลุ่มเพื่อเชื่อมโยงต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยต้องรู้ว่าเราอยู่ตรงจุดใดของ “value chain” ต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ สร้างความเป็นเลิศทำได้ ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ ผ่านหอการค้าจังหวัดและมีหอการค้าไทย ในการสร้างความเป็นเลิศตลอดห่วงโซ่มูลค่า (value chain)

    ด้านที่ 3 “นวัตกรรม...เราต้องทำ!!” (Innovation…a Must !!) ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า นวัตกรรม (Innovation)เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากนวัตกรรมเป็นการนำความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) หรือความคิด (Thinking) ไปสร้างให้เกิดเป็นรูปธรรม (Execution) ผ่านกระบวนการผลิตสินค้าและบริการซึ่งจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม และช่องทางการตลาดที่กว้างขวางขึ้น

    นายกลินท์ กล่าวอีกว่า แผนพัฒนายุทธศาสตร์ หอการค้าไทยและภาคการค้า จะต้องยกระดับประเทศไทยให้เป็น Trading Nation ตามนโยบายของภาครัฐ

    "หอการค้าฯ จะเป็นตัวเชื่อมคำแนะนำในการพัฒนา นวัตกรรมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน"

    Tags : ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล • เศรษฐกิจ • ภาษี • พลังงาน • กฎหมาย • เออีซี • กลินท์ สารสิน • ลงทุน

    [​IMG]
     

Share This Page