Windows Server 2008 และ SQL Server 2008 (รวมถึงเวอร์ชันอัพเดตย่อย R2) เป็นระบบปฏิบัติการและฐานข้อมูลที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในโลกองค์กร อย่างไรก็ตาม ซอฟต์แวร์ทั้งสองตัวออกมาตั้งแต่ปี 2008 และปัจจุบันมีอายุครบ 10 ปีแล้ว ใกล้หมดอายุขัยเต็มทน (เข้าระยะ EOS หรือ End of Support) ทุกคนย่อมอยากเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่เสมอ เพราะมีข้อดีเหนือกว่าทั้งในแง่ของฟีเจอร์และความปลอดภัย แต่ในโลกความเป็นจริงก็ทำไม่ง่าย เพราะเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการ-ฐานข้อมูลมักผูกอยู่กับซอฟต์แวร์เฉพาะขององค์กรที่สร้างขึ้นในยุคนั้น ระยะซัพพอร์ตหมดตอนไหน ปกติแล้วไมโครซอฟท์มีระยะเวลาซัพพอร์ตซอฟต์แวร์ให้นาน 10 ปี โดยแบ่งเป็นช่วง Main Stream Support 5 ปี และ Extended Support ที่แพตช์เฉพาะช่องโหว่ความปลอดภัยอย่างเดียวให้อีก 5 ปี โดยอาจยืดระยะเวลาซัพพอร์ตให้บ้างในผลิตภัณฑ์บางตัว กรณีของ Windows Server 2008 และ 2008 R2 รวมถึง SQL Server 2008 และ 2008 R2 ที่ปัจจุบันอยู่ในสถานะ Extended Support เรียบร้อยแล้ว ไมโครซอฟท์ยืดระยะเวลาให้อีกเล็กน้อย SQL Server 2008 และ 2008 R2 จะหมดระยะซัพพอร์ตวันที่ 9 กรกฎาคม 2019 Windows Server 2008 และ 2008 R2 จะหมดระยะซัพพอร์ตวันที่ 14 มกราคม 2020 เท่ากับว่านับจากตอนนี้จะเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปีสำหรับ SQL Server 2008 และอีกประมาณหนึ่งปีสำหรับ Windows Server 2008 ที่องค์กรจะต้องเลือกว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะหากปล่อยให้หมดระยะซัพพอร์ต ไม่มีแพตช์ความปลอดภัยใหม่อีกแล้ว ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีหรือขโมยข้อมูล ทางเลือกเดิม: อัพเกรดหรืออยู่ต่อ? ทางเลือกมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปคือ อัพเกรดซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุด Windows Server 2019 และ SQL Server 2017 ซึ่งมีข้อดีที่ชัดเจนคือได้ฟีเจอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ปรับแต่งประสิทธิภาพมาเพื่อฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ และมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยทันสมัยกว่าเดิมมาก อย่างไรก็ตาม การอัพเกรดเวอร์ชันใหญ่ก็มีข้อเสียว่าต้องทดสอบความเข้ากันได้ของแอพพลิเคชันที่องค์กรใช้อยู่ และอาจต้องลงทุนปรับแต่งแอพพลิเคชันครั้งใหญ่ ซึ่งเสียทั้งเงินและเวลา อีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ อยู่กับ Windows Server 2008 และ SQL Server 2008 ต่อไปเช่นเดิม โดยซื้อบริการความปลอดภัย Extended Security Updates เพิ่มเติมจากไมโครซอฟท์ได้อีก 3 ปี ซึ่งก็มีค่าใช้จ่าย 75% ของค่าไลเซนส์ปกติ และต้องจ่ายทุกปี ทางเลือกใหม่: ย้ายขึ้น Azure แต่รอบนี้ไมโครซอฟท์มาพร้อมกับทางเลือกใหม่ โดยลูกค้าสามารถย้ายระบบจาก Windows Server/SQL Server บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง (on premise) ขึ้นมาเช่าเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์ Microsoft Azure แทนได้ ซึ่งก็แบ่งได้อีก 2 ทางเลือกย่อย เช่า Azure VM แล้วใช้ซอฟต์แวร์โอเอสเวอร์ชันใหม่ Windows Server 2019 และ SQL Server 2017 หรือเช่า Azure VM แล้วใช้ซอฟต์แวร์โอเอสเวอร์ชันเดิม Windows Server 2008 และ SQL Server 2008 ในกรณีที่เลือกอย่างหลังคือย้ายขึ้น Azure เป็นซอฟต์แวร์โอเอสเวอร์ชันเดิม Windows Server 2008 และ SQL Server 2008 ทางไมโครซอฟท์ ขยาย Extended Security Updates อีก 3 ปี ฟรี! ช่วยประหยัดต้นทุนลงและลดความยุ่งยากไปได้มาก และหากลูกค้าซื้อสิทธิ Software Assurance (SA) ของ Windows Server 2008/2008R2 และ SQL Server 2008/2008R2 ไว้อยู่แล้ว ไมโครซอฟท์ยังจะช่วยลดค่าเช่า VM บน Microsoft Azure ให้อีกต่อหนึ่ง ช่วยให้ค่าบริการคลาวด์ถูกกว่าผู้ให้บริการรายอื่นๆ ถึง 5 เท่าด้วย ทางเลือกนี้จึงเหมาะสำหรับลูกค้าที่ยังไม่พร้อมจะอัพเกรด Windows Server 2008/2008R2 และ SQL Server 2008/2008R2 แต่ก็มีความกังวลเรื่องแพตช์ความปลอดภัย รวมถึงค่าใช้จ่ายจากค่าไลเซนส์ การย้ายขึ้นไปใช้คลาวด์ Microsoft Azure จึงเป็นทางออกที่เหมาะสมมากในระยะสั้นไม่เกิน 3 ปีต่อจากนี้ ก่อนจะอัพเกรดซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันใหม่ในระยะถัดไป สนใจทดลองใช้ VM บน Microsoft Azure ฟรี ได้ที่ https://azure.microsoft.com/th-th/free/ หรือเข้าร่วมเรียนรู้วิธีการใช้งานหรือประโยชน์ของ Microsoft Azure cloud ได้ที่ https://aka.ms/addevent Topics: Windows ServerSQL ServerMicrosoftAdvertorialEnterprise